Thursday, March 28, 2024
More
    Homeบทความทั่วไปสจ.เปี๊ยก อุทัยฯ เปิดใจพูด "ไม่เคยเหยียบบ่าใครขึ้นมาใหญ่" คนมองไม่ดีแก้ยาก

    สจ.เปี๊ยก อุทัยฯ เปิดใจพูด "ไม่เคยเหยียบบ่าใครขึ้นมาใหญ่" คนมองไม่ดีแก้ยาก

    เปิดอก สจ.เปี๊ยก อุทัยฯ
    ไม่เคยเหยียบบ่าใครขึ้นมาใหญ่

    ปภาวิชญ์ บุษวะดี หรือที่รู้จักในชื่อ สจ.เปี๊ยก อุทัยธานี คนที่ตำรวจออกปากกล่าวถึงเป็นผู้มีอิทธิพล อยู่เบื้องหลังคดีอะไรต่างๆ แต่ ท่องปทุมวัน วันนี้จะพาไปรู้จัก และฟังความรู้สึกจากคนที่เป็นที่หมายตาของตำรวจทุกครั้งที่เปิดแผนเข้าค้นเป้าหมายอิทธิพลใน จ.อุทัยธานี ฐานะคนสนิท ชาดา ไทยเศรษฐ อดีต ส.ส. อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา และเป็นอดีตประธานคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎรไทย กันบ้าง

    มีคดีที่ไหน ตร.ถามตลอด มึงรู้มั้ย

    ก็ไม่รู้ความคิด หรือข้อมูลที่เขาได้มายังไง ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรหรอกนะ ถือว่าเขาคงได้ข้อมูลมาผิดๆหรือเปล่า คือตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เขาก็เอาแต่ภาพเก่าๆ มาร้อง จริงไม่จริงก็เอาไว้ก่อน คิดไว้ก่อน คงไม่มีตัวเลือกมั้ง อุทัยธานีก็มีอยู่ 2 คน ชาดา กับ สจ.เปี๊ยก ปืนมีอยู่ 2 กระบอก ใครตายจังหวัดไหน ก็ต้องชาดา ต้อง สจ.เปี๊ยก อยู่อย่างนั้น ก็ไม่รู้ความคิดเขาคิดได้ยังไง และมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ตำรวจเขาจะถามตลอดเวลามีคดีอะไรที่ไหน เปี๊ยก มึงรู้มั้ย ผมก็ต้องบอกว่า เปลี่ยนความคิดเถอะครับ ถ้ามองว่าเราเกี่ยวข้อง หรือต้องรู้ ก็คงหาผู้ต้องหาไม่ได้หรอก เพราะจริงๆ เราไม่รู้

    ทำมวยช่วยเด็กให้ได้เรียน

    ตอนนี้ก็ทำหลายอย่าง ทำค่ายมวย ขายที่ดิน ปล่อยพระ ที่ทำค่ายมวยเพราะเห็นเด็กมันไม่มีการศึกษา คือ 1.พ่อแม่ไม่มี ก็เอามาเลี้ยง ส่งเรียน กศน.บ้าง กินอยู่ฟรีก็ทำให้จังหวัด ไม่ได้เก็บค่าตัว จังหวัดส่งมาอบรม เราเสียเงินหมดแหละ ไหนจะดูแลที่กิน ที่อยู่ น้ำท่า อาหาร การออกกำลังกาย เปิดมาได้สัก 2 ปีแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จ ตอนนี้มีเด็ก 21 คน ในค่ายที่ขึ้นชื่อ ก็มี กุหลาบดำ ได้เสื้อสามารถ ช่อง 7 สี ชนะ 7 ไฟต์รวด น็อก 6 ครั้งรวด ชนะคะแนน 1 ส่วนตัวก็ชอบมวยอยู่แล้วด้วย ถามว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวรึเปล่า ไม่ใช่เลย เพราะค่าตัวไม่เคยเอาสักบาท ค่ายอื่นเขาเอา 50 หรือ 40 ต่อ 60 ผมไม่ใช่รวย แต่สงสารเด็ก ฝึกซ้อมเด็กๆ ตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง วิ่งขึ้นเขาสะแกกรังบ้าง ออกไปรอบเกาะหนองโพอะไรอย่างนี้ ถ้าเราพาไปวิ่งด้วย มันได้กำลังใจ ทำอย่างนี้ทุกวัน ก็ออกกำลังกายไปด้วย
    นอกจากค่ายมวย ก็ขายที่ดิน ขายพระ เช่าพระ ก็ไม่ใช่เซียนหรอกแต่พอได้ ก็ปล่อยพระมาได้ 5-6 ปี มีหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อพรหมวัดช่องแค สายหลัก ก็ถือว่าโอเคนะ ซื้อมาปล่อยไป หลักล้านก็มี หลายล้านก็มี บางขุนพรหม เกศไชโย

    คนมองภาพไม่ดี ไม่รู้แก้ยังไง

    สำหรับเรื่องคนที่มองภาพเราไม่ดี ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไง แต่ส่วนมาก ถ้าประชาชนทั่วไป อยู่ในวงการ ก็จะเชื่อถือพอสมควร เพราะเราไม่เกเร ไม่ก้าวล่วง ไม่เคยเหยียบบ่าใครมาใหญ่ ไม่มีนิสัยแบบนั้น ตำรวจในพื้นที่ก็รู้นะว่าเราเป็นคนยังไง ไม่เคยไปก้าวล่วง แล้วเรื่องยาเสพติดนี่บอกเลย ไม่เคยเกี่ยวข้อง จะเช็คกับเด็กเราทุก 7 วัน 10 วัน ให้ตำรวจมาเช็ค มีลูกน้องที่ค่ายมวย คนงานด้วย 50-60 คน ได้ คนงานก็พวกรับเหมาก่อสร้าง ขับรถแมคโคร รับถมที่ ก็ทำ ก็ไปเรื่อยๆ กับธุรกิจ ไม่ได้หยุดเลย แต่ก็ระวังตัวเหมือนกัน

    วัยเด็กลำบากถึงขั้นขายเลือด

    ชีวิตตอนเด็กๆ เกิดที่บ้านบึงทับแต้ เกิดตรงนี้เลย (ชี้ไปที่บ้านฝั่งตรงข้ามคลอง) ลำบากนะ ถึงขั้นขายเลือด เพราะพ่อแม่จน ก็ปั่นจักรยานจากบึงทับแต้ ไป รพ.คริสเตียนมโนรมย์ ไปยื่นบัตร เพราะ รพ.ฝรั่ง เขาจะมีคิวว่าวันนี้เอากรุ๊ปโอ กี่ขวด เอบี กี่ขวด ขี่ไปอยู่ 5 วัน ไม่ได้เลย มาขายได้เอาวันที่ 6 คงสงสาร รับบัตรซื้อกระปุกละ 280 บาท กระปุกเดียว คือแต่ก่อนไม่มีบริจาค เขารับซื้ออย่างเดียว เขาจะดูว่าวันนี้คนไข้ต้องรับเลือดกรุ๊ปนี้ จะระบุว่าซื้อกรุ๊ปนี้กี่ขวด เอบี กี่ขวด ตอนนั้นอายุประมาณ 17 ปี หลังจากนั้นบวชเณรเรียน สึกออกมาทำก่อสร้าง ขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ แบกเสื่อขายตามบ้าน ถ้าหน้าอ้อย ก็ไปทำอ้อย ถ้าหน้าข้าว ก็ทำนาข้าว ถ้าหน้าข้าวโพดก็ไปทำข้าวโพด

    ชีวิตตะรอนผจญภัยทั่วประเทศ

    จากขายเลือดเสร็จ ไปเป็นเด็กประจำรถทัวร์สิงห์บุรีพอเสร็จ รถคว่ำคนขับตาย ก็ไปขับรถสองแถวรับจ้าง ที่สิงห์บุรี ก่อนจะไปอยู่กรุงเทพฯ ไปขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ ส่งอะไหล่ทั่วตามขนส่ง ตอนหลังผู้จัดการเห็นว่ามีความสามารถให้เป็นเซลล์ ก็ให้ออกขับรถต่างจังหวัด ไปถึงยะลา ปัตตานี ที่สะบ้าย้อย สุไหงโก-ลก ระแงะ ไปหมด ขับคนเดียว ไปใต้ 15 วัน อีสาน 15 วัน ไปเหนือ 15 วัน ภาคกลาง 7 วัน วิ่งขายอะไหล่ รับออเดอร์ อะไหล่มอเตอร์ไซค์ มาเป็นผู้ใหญ่บ้านตอนกลับมาจากกรุงเทพฯ ก็มาเป็นเพราะพ่อเป็น คือสมัยก่อนเขาจะสืบทอดกัน

    กลับบ้านเป็นผญบ.แทนพ่อ

    ส่วนเส้นทางในวงการเมืองท้องถิ่น เริ่มแรกก็เป็นผู้ใหญ่บ้านมา 2 ปี พอปี 2544 มาเป็น สจ.เขต 2 อ.เมือง คือเริ่มแรกเป็นผู้ใหญ่บ้านท่าซุง ดำเนินตามรอยพ่อ พ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตอนนี้น้องสาวเป็นกำนัน ที่ ต.ท่าซุง อ.เมือง แล้วพอเข้าวงการเมืองท้องถิ่น ถือว่าได้รับการยอมรับ แต่จริงๆก็ดูแลชาวบ้านกันทุกเขตแหละ ใน อ.เมือง แต่ไม่ขึ้นสมัคร สส.ผมไม่เอา แค่เป็น สจ.ดูแลประชาชนภาคพื้นก็พอ อยู่ตรงนี้พอแล้วครับ

    สส.ชาดา เหมือนครอบครัวเดียวกัน

    นอกจากได้รับการสนับสนุนจากหมู่บ้าน สส.ชาดา เขาก็ให้การสนับสนุน คือเริ่มแรกรู้จักกันผิวเผินก่อน แต่ผมชอบในความมีคุณธรรมของเขา ตอนเขาเป็น สส. ผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน มารู้จักกันก่อนปี 2538 ที่มีเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ก็สนิทกัน ชอบเขาเพราะเป็นคนมีคุณธรรม แม้จะต่างศาสนา ถือว่าตอนหลังเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ลูกเราเรียกเขาว่าพ่อ ท่าน สส.ชาดา จะเรียกอา รักเหมือนพ่อเลย เหมือนครอบครัวเดียวกัน คนก็เลยมองภาพ เป็นผู้มีอิทธิพล ถามว่ามีอิทธิพลมั้ย ถ้าอิทธิพลในด้านคุณธรรมยอมรับ ทุกสิ่งทุกอย่าง ในอุทัยธานี ยังไม่ทันแจ้งตำรวจหรอก ต้องมาแจ้ง สส.ชาดา ก่อน แล้วก็มาถาม สจ.เปี๊ยก ถามว่าอยู่มั้ย นี่ทะเลาะกันเรื่องมรดก มีปัญหากัน แบ่งกันไม่ลงตัว กรรมการกลางก็คือท่านชาดา ต้องมาจัดสรรกันจะได้จบ เขาฟังแล้วก็เชื่อ เพราะเขามีคุณธรรม เอาเหตุผลความจริงมาพูดกัน ท่านชาดา ก็จะคำนวณเหตุผลทั้งสองฝ่าย แล้วอธิบาย จุดนี้ คุณต้องอยู่ตรงนี้นะ คุณต้องถอยหลังกันคนละก้าว คุณเดินหน้ามาก้าวหนึ่ง อะไรแบบนี้ ผมก็เห็นจบได้ทุกเรื่อง ที่ผ่านมาในชีวิตที่เจอกันมานี่ 20 กว่าปี ที่ดูแลกันอยู่ เห็นกันอยู่ ก็ไม่ได้ไปรังแกใคร ไม่เคยที่จะไปก้าวล่วง หรือเอาเปรียบใครในชีวิต ไม่มี มีแต่จะเสียมากกว่า

    มองมุมกลับ ยิ่งค้นยิ่งมาเสริม

    เคยนั่งถามกัน ปรับทุกข์กัน ทุกวันนี้เราเป็นยังไง ถึงมาเจอสภาพแบบนี้ เขาก็บอกว่า ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็ต้องถามผู้ใหญ่ว่า ทำไมถึงต้องมาลงที่อุทัยธานีตลอด พูดง่ายๆ ว่า เหมือนโดนรังแกตลอด มันเหมือนเป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไม่รู้เขาเอาข้อมูลมาจากไหน แต่ต้องยอมรับสภาพต้องตอบรับตอบสนอง ไปแสดงความบริสุทธิ์ทุกเรื่อง ไม่เห็นมีอะไร ชาวบ้านก็โอเค.ถ้าชาวบ้านไม่โอเค.รับรองว่าอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าทั้งจังหวัด เขาไม่ยอมรับหรอก ถ้าท่าน สส.ชาดา หรือ สจ.เปี๊ยก เป็นคนไม่ดี คงไม่ได้รับการยอมรับ มันคงจบไปแล้ว เขาไม่เอาไว้แล้ว แต่ถ้ามองอีกมุม ปกติถ้าตำรวจกองปราบ เข้าบ้านใคร มันหมดอนาคตเลย แต่นี่เหมือนกลับยิ่งมาเสริมให้เราทำอะไรดีขึ้น บางทีต้องขอบคุณนะ ตำรวจกองปราบ ทหาร อะไรอย่างนี้ คือมาเสริมเราตลอด ถ้าชาวบ้านไม่เอา เราก็อยู่ไม่ได้ เดี๋ยวความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ปรากฏเอง ไม่อยู่ไม่ได้มาหรอก 20-30 ปี

    อิสลามปล่อยเงินกู้บาปหนัก

    อย่างท่าน สส.ชาดา อยู่อุทัยธานี มาตั้งแต่เป็น สท.เป็นนายกเทศมนตรี จนเป็น สส.อุทัยธานี ผมถือว่าเขานี่เป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะจาก สส.ทุกพรรคในสภา การปราศรัยทุกครั้ง เมื่อท่านปราศรัย ทุกคนจะต้องหยุดฟัง นี่คือความจริง บางคำพูดเห็นมั้ย จะปรับคนอื่นมันไม่ได้ มันก็ต้องปรับที่ตัว ส.ส.ทุกคนก่อน เมื่อเป็นผู้แทนประชาชน เข้าไปอยู่ในสภา นี่เป็นหลัก ถ้าคนชั่ว ปีเดียวสองปี มันก็โผล่แล้วครับ นี่มันโซเชียลบ้างอะไรบ้าง มันเยอะ ส่วนเรื่องเงินกู้นอกระบบ ผมกับ สส.ชาดา ไม่เคยเกี่ยวข้องเลย บอกตรงๆ อย่างท่าน สส.ชาดา เป็นอิสลาม ถ้าไปกินดอกนี่ถือว่าผิดหลักศาสนาเขา เปรียบเสมือนบุตรไปมีเพศสัมพันธ์กับแม่ด้วยนะ ขนาดนั้นเลย การปล่อยดอก กินดอก ที่เคยพูดกันอยู่ อิสลามเขากินดอกไม่ได้

    ปวดหัวพวกเงินกู้ชอบอ้างชื่อ

    ถามว่าทำไมมีแต่ชื่อ สจ.เปี๊ยก กับ สส.ชาดา ก็ปรับทุกข์กันนะ ว่าทำไมมีแต่ชื่อเราอยู่ 2 คน ทุกจังหวัด บางคนขอเสื้อคลุม สจ.เปี๊ยก และ สส.ชาดา ไปใส่ แล้วไปปล่อยเงินกู้ตามภูเก็ต กระบี่ ยังขอชื่อเรา ทำไงได้ เราให้เสื้อเขา เราไม่ได้เขียนว่า ปล่อยเงินกู้นะ มันธรรมชาติ เขาใส่เสื้อคลุม แล้วคงเข้าใจไปเอง เอาอีกแล้ว สส.ชาดา สจ.เปี๊ยก ไปให้คนเก็บเงินกู้ เราก็ปรับทุกข์ ว่าทำไมมันต้องอ้าง ท่านชาดาก็บอกว่า ทำไงได้ เรามีกันสองคน เขาก็อ้าง แต่ถามว่าเรื่องเงินกู้ เราไปบังคับไม่ให้เขาไปทำ ได้มั้ย

    ชีวิตที่เหลือทดแทนแผ่นดินเกิด

    ชีวิตตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว มันก็เหลือแต่ทำคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินเกิดเท่านั้น เราไม่เคยก้าวล่วง ไปเหยียบย่ำ ดูถูกใคร มีแต่ให้ ช่วยเหลือ เราต้องทดแทนแผ่นดินเกิด จงรักภักดีต่อสถาบัน ต่อทุกพระองค์ น้อมรับทุกเรื่องต่อความถูกต้อง ไม่เคยเบียดเบียน รังแกใคร งานประมูลก็ไม่ได้ทำเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็รับต่อมาจากคนอื่น จากบริษัท ห้างร้าน เสนอราคามาเราก็ไปรับต่อเขามา เพื่อเลี้ยงลูกน้อง เดี๋ยวนี้ทำงาน น้ำมันก็แพง ส่วนเรื่องฮั้ว เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้ว ซื้อแบบอะไรตรงไหน เดี๋ยวนี้ดูไม่ได้แล้ว ระบบแรบบิดดิ้ง มันซื้อที่ไหนก็ได้ ไม่สามารถทำได้ เมื่อก่อนทำได้ เช่น ซื้อที่ อ.เมือง ไปดูได้ว่ากี่ราย บริษัทอะไรมาซื้อ ถ้าอย่างนั้นโอเค.ที่ผ่านมา ในอดีต เป็นแบบนั้น 10 กว่าปีมาแล้ว แต่ระยะหลัง เป็นระบบซื้อบ้านใครบ้านมัน ดูรายชื่อใครซื้อได้ เดี๋ยวนี้เขาเคาะราคาที่บ้าน โลกมันเปลี่ยน สังคมมันเปลี่ยน อยู่กันตามอัตภาพแล้ว

    กากีกลาย27/4/50

    สนับสนุนเรื่องราวดีดี
    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments