Thursday, April 18, 2024
More
    Homeบทความทั่วไปเรียน-เล่น จำเป็นต้องแยก กีฬาต้องได้ เรียนต้องไม่เสีย

    เรียน-เล่น จำเป็นต้องแยก กีฬาต้องได้ เรียนต้องไม่เสีย

    เรียน-เล่นจำต้องเลือก (ตอน7)

    ตั้งแต่ลูกเล่นเทนนิส บอกตรงๆ ว่าผมไม่เคยมีความคิดอยู่ในหัวมาก่อนเลยว่า จะให้หยุดเรียนในโรงเรียนประจำหรือเอาลูกออกมาเรียนกศน. แม้กระทั่งเรียนแบบโฮมสคูลตามคำแนะนำของผู้ปกครองนักหวดรุ่นพี่ เพราะคิดว่าเรียนกับเล่นมันน่าจะไปด้วยกันได้ ถึงแม้ลูกผมจะไม่ได้อยู่แถวหน้าของห้อง แต่เกรดเฉลี่ย 3 กว่าทั้งที่ไม่เคยเสียเงินเรียนพิเศษ และได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่นถึง 2 ปีติดต่อกัน (ตอนอยู่ ม.2 และม.3 )

    แต่พอลูกโตขึ้นต้องฝึกซ้อมจริงๆจังๆ เพ่ือแข่งขันในเวทีนานาชาติ การเรียนในห้องปกติมีปัญหาให้คบคิดอยู่พอสมควร ผมพยายามจัดเวลาให้สมดุลด้วยการทำหนังสือถึงโรงเรียน ขออนุญาตให้ลูกเข้าเรียนสายเพ่ือจะเอาเวลาช่วงเช้าไปฝึกซ้อม ครูที่โรงเรียนก็ใจดีออกบัตรสิทธิพิเศษให้ เวลาไปสายจะได้ไม่โดนครูเวรทำโทษ

     ผมปลุกลูกตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพ่ือให้ทันฝึกซ้อมกับโค้ชผู้สอนหกโมงครึ่ง ใช้เวลาอยู่ในคอร์ตราว 1 ชั่วโมงครึ่ง ซ้อมเสร็จแปดโมงรีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนและทานข้าวกันในรถเหมือนที่เคยทำสมัยอยู่ต่างจังหวัด แรกๆก็ไม่มีอะไรให้ปวดหัว แต่พอขึ้นม.2 เร่ิมมีปัญหา ครูเวรบางท่านไม่ยอมให้เด็กมาสาย แม้จะย่ืนบัตรขออนุญาตเหมือนเก่าก็ไม่ได้


    เหตุผลของครูคือเด็กนักเรียนทุกคนต้องมาเข้าแถว เพ่ือรับฟังข่าวสารหน้าเสาธง ใครมาสายต้องถูกลงโทษ ผมพยายามอธิบายว่าลูกผมมาสายก็จริง แต่ไม่ได้ต่ืนสายหรือไปเกเรที่ไหน เขาไปซ้อมเทนนิส ส่วนครูก็อ้างเหตุผลว่าโรงเรียนเน้นวิชาการและไม่สนับสนุนกีฬาประเภทนี้ ถ้าเป็นว่ายน้ำหรือวอลเล่ย์บอล โรงเรียนหนุนเต็มที่

    โดนแบบนี้บ่อยๆท้อครับ ยิ่งตอนเรียนม.3 ค่อนข้างเครียดมาก มีอยู่ทัวร์นาเมนต์หนึ่ง ลูกผมคว้าแชมป์ภายในประเทศ ได้สิทธิ์ไปหาประสบการณ์แข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น 10 วัน อีกทั้งช่วงนั้นลูกผมเร่ิมออกแข่งต่างประเทศเพ่ือเก็บคะแนนไอทีเอฟ ส่วนใหญ่จะไปประมาณอาทิตย์กว่าหรือ 2 อาทิตย์ จบแมตช์กลับมาเรียนปรากฏว่าตามเพ่ือนไม่ทันครับจนเกรดตกฮวบ

    เอาแค่วิชาพลศึกษา ครูผู้สอนที่เป็นถึงหัวหน้าภาคยังให้เกรด 1 เลยครับ และได้คะแนนแค่ 51 เท่านั้น เรียกว่าผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ทั้งๆที่เวลาสอบภาคปฏิบัติ ลูกผมก็ทำได้ดีกว่าเด็กคนอ่ืนๆ เพราะเป็นกีฬาแต่ครูอ้างว่าผมไม่สนใจว่าใครจะเป็นนักกีฬาหรือไม่เป็น ผมให้ตามเน้ือผ้า ใครไม่มาสอบในชั่วโมงเรียนถือว่าขาดไม่มีคะแนน แต่พอไปขอตามสอบก็ไม่ให้

    ผมมานั่งปรึกษากันในครอบครัวว่า สงสัยมันคงถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนหรือจะเล่นเทนนิส ถ้าอยากเล่นต่อตอนเข้าเรียน ม.4 ต้องย้ายไปโรงเรียนที่ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กเล่นกีฬาแบบจริงๆจังๆ แต่ผมและแฟนจะไม่บังคับให้ลูกทำตามความต้องการของพ่อแม่ ผมถามลูกอยู่หลายรอบและได้คำตอบเดิมๆ คือเล่นเทนนิส


     พอจบ ม.3 ผมเสาะหาโรงเรียนหลายแห่งเพ่ือเอาไปเรียนต่อ ม.4 ไปคุยกับอาจารย์ แต่สุดท้ายจบที่โรงเรียนกีฬาครับ แม้ช่ือเสียงจะสู้โรงเรียนเก่า หรือโรงเรียนสายสามัญไม่ได้ แต่ลูกโอเค เขาบอกว่าเม่ือเราเลือกเล่นกีฬาก็เข้าเรียนโรงเรียนกีฬาไปเลย จบมัธยมก็ไปเรียนต่อด้านกีฬาที่ถนัด ทำงานสายกีฬาตามความชอบ

    ที่สำคัญจะได้มีเวลาทุ่มเทการฝึกซ้อมมากขึ้นเพ่ือเป้าหมายสู่อาชีพ ส่วนจะไปได้แค่ไหนอย่าไปคิดให้ปวดสมอง ขอแค่ทำแล้วมีความสุขกันทั้งครอบครัวก็พอแล้ว

    —————————— เดอะวินเนอร์

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments