จากกรณีที่ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป.มอบหมายให้ พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ ผกก.6 บก.ป. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.ธราดล เหมพัฒน์ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.6 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายธนินพัฒน์ จันทร์เรือง อายุ 31 ปี , น.ส.พนิดา มหรรฆตระกูล อายุ 36 ปี และ นายวัฒนา เพ็ชรปัญญา อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยหลอกว่ามีโควต้าสามารถช่วยเหลือให้เข้ารับราชการทหารได้โดยไม่ต้องสอบบรรจุ แต่มีค่าดำเนินการรายละตั้งแต่ 3-7 แสนบาท หลายรายที่ถูกกลุ่มผู้ต้องหาหลอกต่างพากันมาเข้าแจ้งความกับกองปราบปราม เมื่อวานนี้ไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 18 ม.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ ผกก.6.บก.ป.พ.ต.ท.ธราดล พร้อมด้วยชุดสืบสวน กก.6 บก.ป.พร้อมกำลังได้เข้าจับกุม น.ส.เสาวนีย์ หรือณัฐณิชา สุนทร อายุ 24 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2041/2559 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2559 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นหัวโจกแก๊งตุ๋นเข้าเป็นทหารรายนี้ ไว้ได้ที่บ้านพักเลขที่ 95/23 หมู่บ้านดิเอสธาน่า ถนนนครอินทร์ ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ บก.ป.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังถูกจับกุมตัว น.ส.เสาวนีย์ มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ไม่ยอมให้การใดๆ ก่อนจะประสานทนายความ เพื่อต่อสู้คดีและเข้าร่วมรับฟังการสอบสวน อย่างไรก็ดี น.ส.เสาวนีย์ ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นคนต้นคิดในการหลอกลวงผู้เสียหาย ส่วนกรณีเครื่องแบบทหารที่มีอยู่ในความครอบครองนั้น เป็นชุด ส.ต.หญิง ที่เคยสวมใส่ระหว่างรับราชการทหาร ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ ที่ กองบัญชาการกองทัพไทย ตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งปัจจุบันตนลาออกจากราชการแล้วเมื่อปี 2559 ส่วนรายละเอียดต่างๆ ไม่ขอให้การในชั้นสอบสวน โดยจะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ผู้เสียหายได้รับการติดต่อเพื่อให้ช่วยเหลือในการเข้ารับราชการทหาร นั้น น.ส.เสาวนีย์ ระบุว่า ได้นัดเจรจาและคืนเงินให้ผู้เสียหายไปแล้วก่อนหน้านี้ 7-8 ราย เหลือเพียงกลุ่มนักศึกษาจากพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด 5 ราย ที่มีการแจ้งความดำเนินคดีซึ่งตนนัดหมายแล้วว่าจะหาเงินมาใช้คืนให้ แต่มาถูกจับกุมเสียก่อน สำหรับ น.ส.พนิดา กับกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดรู้จักกันในฐานะเพื่อน บางคนมารู้จักภายหลัง และไม่ทราบว่าเป็นทหารจริงหรือไม่ อย่างไรก็ดี พนักงานสอบสวนยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ เนื่องจากคำให้การยังขัดแย้งกับพยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งคำให้การของผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความในหลายประเด็น หลังจากนี้จะสอบปากคำผู้ต้องหาอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ต้องหาแก๊งนี้ถูกศาลอนุมัติหมายจับไว้ทั้งหมด 9 ราย ถูกจับกุมดำเนินคดีแล้ว 4 ราย คงเหลือเพียง นายธณรัสย์ นภิศสิริปภัสร์ อายุ 35 ปี , นายกฤตานนท์ หรือสุภัทร์ มั่งคล้าย อายุ 35 ปี รวมทั้งผู้ต้องหาที่ยังไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล 3 ราย ที่ยังหลบหนีคดี อย่างไรก็ดี ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบข้อมูลจนทราบชื่อผู้ต้องหาแล้วอีก 2 ราย คือ นายรัชชานนท์ ดวงสี อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77/376 หมู่ 17 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และ น.ส.กนกวรรณ ไชยหาญ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 142 หมู่ 1 ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2092 และ 2094/2559 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2559 ตามลำดับ ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จึงเหลือผู้ต้องหาเพียง 1 รายเท่านั้น ที่ยังไม่ทราบชื่อ
บ่ายวันเดียวกัน นายธณรัสย์ นภิศสิริปภัสร์ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2045/2559 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2559 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน หนึ่งในผู้ต้องหาคดีดังกล่าว พร้อมด้วยทนายความ ได้เข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ ผกก.6 บก.ป.เพื่อต่อสู้คดี โดยนายธณรัสย์ ให้การปฏิเสธอ้างว่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง และตกเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกลวงนี้ด้วยเช่นกันเพื่อจะได้เข้ารับราชการทหาร เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้รับการติดต่อจาก น.ส.เสาวนีย์ เรียกรับเงินค่าดำเนินการจากตน 1 ล้านบาท แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปกว่า 1 ปี ยังไม่ได้เข้ารับราชการทหาร นอกจากนี้ตนยังจ่ายเงินให้กับเพื่อนอีก 13 คน ที่มาสมัครเข้าเป็นทหารด้วยรวมเป็นเงิน 6 ล้านบาท
นายธณรัสย์ ให้การต่อว่า รู้จักกับ น.ส.เสาวนีย์ จากการแนะนำของ นายธนินพัฒน์ จันทร์เรือง อายุ 31 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีนี้ ก่อนจะถูกชักชวนให้สมัครเข้าเป็นทหาร ตามที่ น.ส.เสาวนีย์ อ้างว่ามีโควตา โดยเจรจาพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ก่อนตกลงจ่ายเงินค่าดำเนินการ นอกจากนี้ยังทราบอีกว่าหากได้รับการบรรจุเป็นทหาร แล้ว กลุ่มเพื่อนที่ตนออกเงินไปให้ก่อน สามารถกู้ยืมเงินสหกรณ์ทหาร นำมาใช้คืนให้ตน ซึ่งครั้งแรก น.ส.เสาวนีย์ บอกว่าตนจะได้เริ่มบรรจุในตำแหน่ง ร.ต.จากนั้นมาบอกว่าผู้ใหญ่ให้ตนมียศ พ.ท.พร้อมกับนำบัตรประจำตัวมาให้
นายธณรัสย์ ให้การอีกว่า สำหรับกรณีที่มีรูปตนปรากฏอยู่ในพิธีประดับยศให้กับผู้เสียหายรายอื่นๆ นั้น เป็นเพราะได้รับการชักชวนจาก น.ส.เสาวนีย์ ให้ร่วมงานเพื่อรับทหารใหม่ พร้อมกับอ้างว่าผู้ใหญ่ที่จะมาเป็นประธานในพิธีติดภารกิจ จึงขอให้สวมเครื่องแบบทหารขึ้นไปเป็นประธานในพิธีดังกล่าว ยืนยันว่าไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นการจัดฉากเพื่อหลอกลวงผู้เสียหาย กระทั่งภายหลังเมื่อถูกรอเรียกให้ไปทำงานเป็นระยะเวลานานจนผิดสังเกต จึงเริ่มเอะใจสงสัยว่าถูกหลอกลวง และพยายามติดต่อหา น.ส.เสาวนีย์ เพื่อขอเงินคืนเพราะไม่ต้องการเข้าเป็นทหารแล้ว แต่ถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จนต้องมาตกเป็นผู้ต้องหาร่วมขบวนการหลอกลวงในคดีร่วมกันฉ้อโกงในครั้งนี้ และภายหลังทราบข่าวจึงรีบเข้ามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและขอต่อสู้คดี โดยเตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสดในบัญชีธนาคาร จำนวน 3 แสนบาท มาขอยื่นประกันตัวในชั้นสอบสวนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงบ่ายวันเดียวกัน มีผู้เสียหายซึ่งเป็นนักศึกษาจากพื้นที่ จ.ขอนแก่น 5 ราย จ.มหาสารคาม 3 ราย และ จ.ร้อยเอ็ด อีก 1 ราย ทั้งหมดอายุระหว่าง 20-30 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.6 บก.ป.เพิ่มเติม หลังจากทราบข่าวและตกเป็นเหยื่อของแก๊งนี้เช่นเดียวกัน โดยทั้งหมดจ่ายเงินให้กับ น.ส.เสาวนีย์ ตั้งแต่ 3.5-5.5 แสนบาท ตามแต่ว่าจะเข้ารับการบรรจุเป็นทหาร ระดับชั้นประทวนหรือชั้นสัญญาบัตร นอกจากนี้หากรายใดที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ก็จะถูกเรียกเก็บเงินค่าจัดทำวุฒิเพิ่มเติมอีก 1.2 หมื่นบาท บางรายนั้นผู้ปกครองต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อหาเงินให้บุตรหลาน ด้วยความหวังว่าจะได้เป็นทหารจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า กลุ่มผู้เสียหายเพิ่มเติมถูกหลอกลวงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จากนั้นได้มีการนัดหมายมาจัดทำเอกสาร และมีการฝึกสมรรถภาพกันในช่วงเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะเข้าร่วมพิธีประดับยศที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2559 โดยผู้ต้องหาอ้างว่าทั้งหมดจะได้เข้าเริ่มทำงานในสังกัดกรมยุทธบริการ กองบัญชาการกองทัพไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้ก็ถูกแจ้งเลื่อนเรื่อยมา จนทราบแน่ชัดว่าถูกหลอกลวงแล้ว
จากนั้นเวลา 15.30 น. นายกฤตานนท์ หรือสุภัทร์ มั่งคล้าย อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2046/2559 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2559 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีเดียวกัน และเป็นสามีของ น.ส.เสาวนีย์ พร้อมด้วยทนายความ ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน กก.6 บก.ป.โดยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมกับเตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 4 แสนบาท สำหรับยื่นประกันตัวในชั้นสอบสวนด้วย