จตช. ร่วมผบช.ก.แถลงข่าวกองปราบ เปิดปฏิบัติการ “CIB Game on รื้อระบบสยบจีนดำ รวบผู้ต้องหาหมายแดงหนีคดีฉ้อโกง 15,000 ล้าน หลังพบหนีกบดานไทย ตั้งแก๊งทำบัตรประชาชนปลอม ร่วมมือตำรวจนอกรีดอุ้มรีดทรัพย์คนจีน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 6 มี.ค.68 ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช.พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.ภาณุมาศ แสงส่ง รอง ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.รัฐมนตรี พันชูกลาง รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ป.
ร่วมกันแถลงปฏิบัติการ “CIB Game on รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน”
สำหรับการปฏิบัติการครั้งนี้ มีการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 11 จุด ในพื้นที่ 7 จังหวัด ทั่วประเทศ ประกอบด้วย นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, เชียงใหม่, นนทบุรี, ชลบุรี และกรุงเทพฯ
จับกุม นายลี อายุ 43 ปี ชาวจีน น.ส.เอ้ อายุ 30 ปี ชาวเมียนมา ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ทุจริต หรือหลอกลวง โดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม
ร่วมกันสนับสนุนพนักงานเจ้าหน้าที่ปลอมบัตรประชาชน, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานเรียกรับประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ” จับได้ที่ บ้าน ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ตรวจยึดของกลาง ประกอบด้วย สมุดบัญชีธนาคาร 14 เล่ม,เงินสด 8,500 หยวน บัตรATM 5 ใบ ,โทรศัพท์มือถือ 14 เครื่อง ,แท็บเล็ต 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 9 เครื่อง,บัตรขาว 2 ใบ รถยนต์ 2 คัน วัตถุคล้ายทองคำ 5 รายการหนังสือเดินทางบัตรประชาชน หรือ เอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องรวม 190 รายการ
นอกจากนี้ชุดจับกุมยังนำหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อายัดตัวผู้ต้องขัง เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม. 4 ราย ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ประกอบด้วย พ.ต.ต.สรวิศ ,พ.ต.ต.จิรภัทร , ร.ต.ท.สุริยะ และ ด.ต.พีระศักดิ์ ที่ถูกจับกุมดำเนินคดี ร่วมกันอุ้มรีดทรัพย์ล่ามภาษาจีน และ เพื่อนชาวจีน เพื่อเรียกเงิน 10 ล้านบาท เมื่อช่วงต้นปี 2566
ครั้งนี้ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหา“เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียกรับประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ”
พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2566 มีผู้เสียหายชาวจีน มาขอความเป็นธรรมหลังถูกตำรวจ ตม.รีดทรัพย์ 2 ล้านบาท สอบสวนขยายผลจนทราบว่า เมื่อต้นเดือน พ.ย. 2565 ผู้เสียหายพบโพสต์ข้อความประกาศในกลุ่มเฟซบุ๊กชาวจีน รับทำบัตรประชาชนไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องจ่ายเงินค่าดำเนินการ 1 ล้านบาท ทำให้หลงเชื่อติดต่อไปพูดคุย
จากนั้นนายลี นัดหมายพาไปทำบัตรประชาชนที่เทศบาลแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา พร้อมพาถ่ายรูปสแกนลายนิ้วมือ มีเจ้าหน้าที่เทศบาลเป็นคนดำเนินการ ประมาณช่วงเที่ยงวันจึงได้บัตร
หลังได้บัตรประชาชน ผู้เสียหายนำไปขอพาสปอร์ตที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ มีนายลี เป็นคนพาไป ก่อนจะมีนายหน้าคนไทย พาไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ
จากนั้นมีตำรวจ ตม. 3 คน มาจับกุมข้อหาใช้บัตรประชาชนปลอม แล้วพาตัวไปที่ ตม. ข่มขู่เรียกเงิน 5 ล้านบาท แลกกับการไม่ดำคดี ก่อนจะต่อรองเหลือ 2 ล้านบาท ด้วยความกลัวผู้เสียหายยอมจ่ายเงินให้กับกลุ่มตำรวจ ตม. เป็นเงิน USDT ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวในช่วงกลางดึกต่อมา
หลังเกิดเรื่องด้วยความกลัวผู้เสียหายเก็บเรื่องไว้นานนับปี ก่อนจะตัดสินใจเข้ามาร้องขอความช่วยเหลือกับตำรวจกองปราบปราม
พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการสืบสวน พบว่าฃทำกันเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ตั้งแต่คนชักชวนเหยื่อ คือ นายลี กับ ภรรยาชาวเมึยนมา กลุ่มคนจัดหาบัตรประชาชนที่จะนำมาสวมเป็นคนไทย
จากแนวทางสืบสวนพบว่าบัตรประชาชนดังกล่าวมีตัวตนจริง ก่อนขายต่อแล้วไปแจ้งขอทำบัตรใหม่ และกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นที่เป็นคนออกบัตรให้ รวมไปถึงกลุ่มตำรวจ ตม. ที่ร่วมกันรีดทรัพย์ผู้เสียหายซึ่งพบว่ามีทั้งหมด 4 คน แบ่งกันทำหน้าที่รีดทรัพย์ ชี้เป้า ค้นหาข้อมูลบัตร รวมไปถึงคนรับเงิน
ก่อนจะผ่องถ่ายไปยังบริษัทแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นนอมินีของทุนจีน เนื่องจากตรวจสอบข้อมูลของกรรมการบริษัทแต่ละคน เป็นเพียงชาวนา รับค่าจ้างเป็นรายเดือน จึงเชื่อว่าบริษัทดังกล่าวเปิดขึ้นเพื่อใช้รับฟอกเงินผิดกฎหมาย
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินยังพบว่ามียอดเงินจากธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่แม่สอดและประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาอีกด้วย
“จากการตรวจสอบยังพบว่า นายลี ยังมีหมายแดงติดตัวอีก 1 คดี เป็นคดีฉ้อโกงเงินในประเทศจีน 15,000 ล้านบาท มีผู้เสียหาย 3,000 คน เมื่อปี 2562 ก่อนจะหนีเข้ามาอยู่ในไทยเมื่อปี 2564 แล้วทำเรื่องสวมบัตรประชาชนหัวศูนย์ หรือ บัตรประชาชนที่ออกให้กลุ่มบุคคลที่เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิม กลุ่มชาติพันธุ์ ชาวเขา ชนเผ่าต่างๆ แต่พำนักอยู่ในไทยนานกว่า 10 ปี ถึงจะได้รับการผ่อนผัน โดยใช้การรับรองจากผู้นำชุมชนเพื่อออกบัตร ทั้งนี้นายลี และ ภรรยาขาวเมียนมา ได้จ้างวานนายหน้าคนไทยทำให้คนละ 6 หมื่นบาท
พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ กล่าวต่อว่า หลังนายลี และ ภรรยา เข้ามาอยู่ในไทยได้ปกติ ก่อนผันตัวเองมาเป็นนายหน้าเปิดเพจรับพาคนจีนไปทำเอกสาร และบัตรประจำตัวต่างๆ และเป็นคนชี้เป้าให้ตำรวจ ตม. มาจับกุมภายหลังเพื่อรีดเอาเงิน รวมถึงจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทนอมินีขึ้นมาอีก 15 บริษัท โดยไม่ได้มีการประกอบกิจการใดๆ ต้องสงสัยใช้กระทำผิดกฎหมาย
เมื่อปรากฎความผิดแน่ชัดจึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 6 รายดังกล่าว
จากการตรวจสอบประวัติการเข้าออกประเทศ พบว่า นายลี เริ่มเข้ามาไทยตั้งแต่ปี 2561 แต่เป็นการไปๆมาๆใช้วีซ่าท่องเที่ยว กระทั่งปี 2563 พอรู้ตัวว่าถูกออกหมายแดงคดีฉ้อโกง 15,000 ล้านบาทที่จีน ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในไทย
ส่วนที่เข้าไปอยู่ร่วมในขบวนการอุ้มรีดเงินร่วมกับตำรวจ ตม. ได้นั้น น่าจะมีนายหน้าขบวนการรับทำบัตรให้คนจีนเป็นคนเชื่อมต่อให้
พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า แม้การสอบปากคำ นายลี และ ภรรยา จะยังคงให้การปฏิเสธ แต่เจ้าหน้าที่เองมั่นใจในพยานหลักฐาน อีกทั้งจากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา ยังพบรูปภาพและข้อมูลคนจีนที่ติดต่อว่าจ้างนายลี พาไปทำบัตรประชาชนอีกกว่า 10 ราย
รวมถึงจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินบริษัทของนายลี และ บริษัทนอมินีทุนจีน ที่ใช้รับโอนเงินจากการรีดทรัพย์ผู้เสียหาย เฉพาะเพียงช่วงเวลา 1 ปี พบว่า มีเงินที่มาจากธุรกิจผิดกฎหมายฝั่งปอยเปต และ ชายแดนแม่สอด เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เข้ามาหมุนเวียนในระบบกว่า 4-5 ร้อยล้านบาทหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะเร่งขยายผลสืบสวนต่อไป
ขณะที่ พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สำหรับตัวนายลี เบื้องต้นจะถูกดำเนินคดีในไทยให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นจึงส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปยังจีนเพื่อดำเนินคดีในส่วนของหมายแดงต่อตามขั้นตอนกฎหมาย
ที่ผ่านมาเรามีการประสานข้อมูลร่วมกับจีนมาโดยตลอด เช่นเดียวกับคดีนี้ข้อมูลการสืบสวนที่ได้มา ก็มาจากทางจีน และ หลังจากนี้ก็ยังคงจะประสานข้อมูลร่วมกันกับจีนต่อเนื่องเพื่อร่วมกันกวาดล้างคนไม่ดีที่หลบหนีเข้ามากบดานในไทยให้หมดไป