ผบ.ตร.ห่วงใย ส่งกำลังใจให้กำลังพลควบคุมสถานการณ์พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ย้ำการดำเนินการตำรวจเป็นไปตามหลักสากล
วันที่ 18 กันยายน 2568 พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า
วานนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้รับรายงานจากกองร้อยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดน 4 ชุดควบคุมตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 (ร้อย ฉก.ตชด. 4 (ชค.ตชด.12)) กรณีเหตุการณ์บริเวณจุดปฏิบัติการที่ 34 กองร้อยทหารพรานที่ 1301 (ร้อย ทพ.1301) บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
โดยเวลา 14.30 น. หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 12 พร้อมชุดควบคุมฝูงชนจังหวัดสระแก้ว, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอโคกสูง, เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.1301 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ร้อย ฉก.ตชด.1-4 ได้ดำเนินการลงพื้นที่ไปติดตั้งลวดหนามหีบเพลงบริเวณดังกล่าว
จากนั้นเวลา 15.00 น. มีผู้ชุมนุมฝ่ายกัมพูชาประมาณ 200 คน เข้ามาขัดขวางและพยายามรื้อลวดหนามหีบเพลงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เตือนให้หยุดการกระทำ จึงทำให้ประชาชนฝั่งกัมพูชาไม่พอใจ
จากนั้นเวลา 16.00 น.ประชาชนฝั่งกัมพูชาได้ต่อว่าเจ้าหน้าที่และได้ปาก้อนหิน ท่อนไม้ ใส่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ชุดควบคุมฝูงชนจังหวัดสระแก้ว และฝ่ายปกครองอำเภอโคกสูง ได้ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง เพื่อผลักดันให้ประชาชนฝั่งกัมพูชาได้ร่นถอยออกจากพื้นที่ดังกล่าว
ต่อมาเวลา 17.00 น.เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการเสริมความมั่นคง โดยการวางลวดหนามหีบเพลงเพิ่มเติม และใช้ยางรถยนต์ประกอบ รวมถึงควบคุมการประท้วงด้วยแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และเครื่อง LRAD เพื่อให้ผู้ชุมนุมถอยออกจากพื้นที่
จากการเข้าควบคุมเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ได้แก่ พ.ต.ท.สมัชญ์ นาคพน รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.คลองลึก, ด.ต.แสงอรุณ ศรีวงศ์จันทร์ ผู้บังคับหมู่ฝ่ายปราบปราม สภ.คลองลึก, ด.ต.ศักดิ์สิทธิ์ นพเกล้า ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว และ จ.ส.ต.ชยันต์ เบ้าทอง ผู้บังคับหมู่ฝ่ายปราบปราม สภ.อรัญประเทศ
นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้แสดงความห่วงใยและให้กำลังใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ และกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกนาย ได้กำชับให้ผู้บังคับบัญชาดูแลสิทธิและสวัสดิการอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าระงับเหตุ และใช้เครื่องมือที่เน้นการผลักดันเพื่อระงับเหตุจลาจลนั้น เป็นไปตามหลักสากล และเหมาะสมต่อสถานการณ์
โดยสถานการณ์ดังกล่าวถือว่ามวลชนกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ขัดขวางการปฏิบัติงานและทำลายสิ่งของของเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายของประเทศไทย