ประกวดเรียงความ “กว่าจะมาถึง…รั้วจักรดาว”โดยผู้ปกครอง นตท.65
ความฝันของเด็กชายตัวน้อยๆ เมื่อครั้งอายุ 4-5 ขวบ มีความฝันอยากเป็นทหารคุณแม่เองรักอาชีพทหารเพราะคุณพ่อของคุณแม่เอง (คุณตา)เป็นทหารเรือ แต่ท่านเสียชีวิตไปเมื่อครั้งคุณแม่ยังเด็กๆ
ทัศนคติกับทหารของคุณแม่จึงเป็นบวก
เมื่อเด็กชายตัวน้อย ฝันอยากเป็นทหาร คุณแม่เองก็ยิ้มกริ่มอยู่ภายในใจ
จนเมื่ออายุได้ 11 ขวบ อยู่ชั้น ป. 6 คุณแม่ก็ยังถามคำถามเดิมว่า โตขึ้น ลูกอยากจะเป็นอะไร? คำตอบก็เหมือนเดิมว่า
ลูกอยากเป็นทหารครับ
ทำไมล่ะลูก?
ลูกอยากรับใช้ชาติ ลูกอยากให้แม่สบายครับ
เขาเห็นแม่เลี้ยงเขาเพียงคนเดียว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ตั้งแต่ลูกอายุเพียง 4 ขวบเราอาศัยอยู่บ้านเช่าเพียงสองคนแม่ลูก ไม่ได้ร่ำรวยและสบาย แม่ต้องทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงลูก
จากนั้น …คุณแม่ก็เริ่มศึกษาหาข้อมูลว่า จะทำอย่างไรได้เป็นนักเรียนนายร้อย
รู้มาว่าการสอบเข้าไปเรียนยากมาก ต้องเก่งวิชาการ และต้องเก่งพละ และต้องเรียนสายวิทย์ คณิต เอายังไงดี….
ตอนนั้นลูกชายต้องสอบเข้า ม.1 โรงเรียนประจำจังหวัด บอกว่า ลูกต้องพยายามสอบให้ได้นะ เพราะโรงเรียนนี้ พื้นฐานการเรียน การสอน ที่ดี มีการแข่งขันระดับประเทศจะมีเด็กนักเรียน จากที่นี่ ติดอยู่เสมอ
และแล้วเขาก็สอบได้ ถึงแม้ว่าไม่ได้ห้องโครงการวิทย์คณิต แต่อย่างใด ไม่เป็นไร เราวางแผนกันใหม่ได้
เริ่มเรียนชั้น ม.1 ห้องปกติ สายวิทย์ คณิต ขณะนั้น ที่โรงเรียนมีโครงการ ถ้านักเรียนห้องปกติคนใดในชั้น ม.1 ทำคะแนนได้ดี ในชั้น ม.2 จะได้เลื่อนเรียนห้องคู่ขนานโครงการ
แล้วลูกชายก็ทำได้ ขึ้น ม.2 ได้เรียนห้องคู่ขนานโครงการ การเรียนเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วง ม.1 ปิดเทอม เทอม 1 แม่เองได้คุยกับลูกชายว่าแน่ใจมั้ยว่าลูกอยากเป็นทหาร งั้นแม่จะให้ลูกไปเข้าค่ายเรียนกวดวิชา ที่นครปฐม เขาบอกแน่ใจครับ!!
แต่ลูกจะต้องอยู่ที่นั่น ซึ่งห่างจากแม่ (อ้อ…ลืมบอกไป เราอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ค่ะและเขาจะยึดมือถือ ไม่สามารถโทรหาแม่ได้นะ ยกเว้นตอนเย็นเขาจะให้หยอดเหรียญโทร)
ช่วงเวลา 20 กว่าวัน ที่เขาอยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้ เขาเป็นเด็กน้อยกว่าเพื่อน พี่ๆส่วนใหญ่ ก็ ม.3 ม. 4 ไปแล้ว โชคดีที่พี่ๆเอ็นดู ทุกเย็นเขาจะโทรมาหาแล้วแม่โทรกลับ จะถามเขาทุกวัน ว่าเป็นยังไง อยู่ได้มั้ยลูก และทุกๆวันเขาจะตอบว่า อยู่ได้ครับแม่
แล้วเรียนรู้เรื่องมั้ย เขาตอบว่าไม่ค่อยรู้เรื่องครับ บอกไม่เป็นไรลูก เก็บชีทมา มันเป็นของ ม.4 ,ม.5
ได้ตื่นเช้าฝึกวิ่ง ว่ายน้ำ เรียน กินข้าวแบบทหาร อาบน้ำแบบรวม อยู่ได้แบบนี้ ตอนอายุขนาดนี้ แม่ก็ว่าเก่งแล้ว
หลังจากรับกลับมา แม่ถามอีกรอบว่า ยังแน่ใจมั้ยว่า อยากเป็นทหาร เขาตอบว่า
“แน่ใจครับ”
เอาล่ะ ทีนี้แม่จะเริ่มวางแผนแล้วนะ ลูกต้องเรียนห้องคู่ขนานโครงการ ม.2 , ม.3 ตั้งใจในวิชาหลักๆ อันไหนด้อย เราก็เสริมด้วยการเรียนพิเศษ พอชั้น ม.3 เทอม1 ได้ส่งไปเรียนกวดวิชา แห่งหนึ่งที่ภาคใต้ ในช่วงปิดเทอม เพื่อกลับมาจะได้เรียนกวดวิชาออนไลน์
และแล้ว ก็เริ่มเรียนกวดวิชาแบบออนไลน์ ตั้งแต่ ม.3 เทอม 2 ในช่วงเวลา 17.30 – 21.00 น. ในช่วง ม.3 เทอม 2 ลูกทั้งเรียนในโรงเรียน เรียนพิเศษ เรียนกวดวิชาแบบออนไลน์ และเริ่มให้ลูกชายไปวิ่งที่สนาม ว่ายน้ำ เข้ายิม ศึกษาว่าพละต้องทำคะแนนได้เท่าไหร่ถึงจะผ่าน ถึงจะเต็ม
ความโชคดีที่มีเพื่อนแม่เป็นนักวิ่งและมีอาจารย์ที่ปลดเกษียณแล้วเป็นเทรนเนอร์ให้ เลยไปขอฝากฝังลูกชายด้วยคน เริ่มหัดท่าวิ่งให้ จากเด็กที่วิ่งไม่เป็นท่า ก็เริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
เรื่องว่ายน้ำแม่พาไปสระว่ายน้ำ ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด บางช่วงก็สระปิด รอจนสระเปิดก็ได้ไปว่ายน้ำ ลูกเคยเรียนว่ายน้ำในโรงเรียนแต่พอแม่มาจับเวลาและดูท่าทางแล้ว ดูว่ายไม่เป็นท่า ว่ายใช้แต่แรงตีน้ำ แต่ตัวไม่ค่อยไป
ความโชคดีอีกเช่นกัน เพื่อนที่เขามีลูกเป็นนักกีฬา แนะนำโค้ช ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาไทยมาก่อน เลยขอให้โค้ชสอนปรับท่าให้ 10 ชม. บอกเลยว่า พัฒนาการดีขึ้นมาก หลังจากนั้นก็ฝึกฝนเอง
ตัวแม่เองต้องทำงาน เลิกงานวันไหน ตามตารางว่าวันนี้ลูกไปวิ่ง ก็จะไปรับที่สนามกลับบ้านราวๆ สองทุ่ม (จากโรงเรียนไปสนาม เขาจะนั่งรถประจำทางไปเอง)
วันไหนไปว่ายน้ำ แม่จะรีบไปเจอลูกที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ส่วนลูกจะนั่งรถประจำทางไปรอแม่ที่ห้างแห่งนี้และหาอาหารทานก่อนแม่มารับไปที่สระว่ายน้ำในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสระมาตรฐานโอลิมปิค 50 เมตร
วันไหนตารางเข้ายิม เขาจะนั่งรถกลับมาเข้ายิม ฝึกกล้ามแขน ขา หัวไหล่ จากเริ่มต้น ที่ตึงข้อไม่ได้เลย พัฒนาการขึ้นมา เป็น 1-2-3
อาจารย์ที่สนาม ก็จะช่วยฝึกท่ากระโดดไกล จับเวลาวิ่ง 50 เมตร 1000 เมตรเวลาปีกว่า จนแม่ มั่นใจว่าพละ ลูกทำได้แน่นอน (ไม่ตก ถ้าไม่ประมาท) แต่จะได้เต็มหรือไม่ ต้องดูกันอีกที
คราวนี้เริ่มโฟกัสเรื่องการเรียน เขาสอบได้ห้องโครงการตอน ม.4 เป็นไปตามแผนทุกอย่าง ให้เรียนพิเศษเสริมวิชาฟิสิกส์ คณิต และอังกฤษ (ซึ่งเขาอ่อนอังกฤษ) และยังต้องเรียนออนไลน์กวดวิชา ควบคู่ไปอีก การบ้านโรงเรียนก็เยอะ
แต่…โควิดระบาดหนัก เกือบทั้งปีไม่ได้ไปโรงเรียน ต้องเรียนออนไลน์ ทั้งหมด แล้วยังต้องไปออกกำลังกายควบคู่
แล้วม. 4 เทอม 1 ลูกชายก็ทำเกรดได้ 3.97 (จริงๆแล้วขอมากกว่า 3.50 เพื่อได้เอาไปสอบโควต้าช้างเผือก ทอ. กับ โควต้า ทบ.)
เป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้ไปสอบโควต้าช้างเผือก
กลับมาบอกว่า ยากมากครับแม่ โอเคไม่เป็นไร ถือว่าเป็นประสบการณ์และแล้ว ก็สอบไม่ผ่านวิชาการ ไม่เป็นไร เอาใหม่ ยังมีสนามสอบที่เหลือรออยู่ สู้ใหม่ ตั้งใจใหม่
ลงสมัครสอบโควต้า ทบ. แต่ความโชคดีของลูกคือ อยู่ในตำบล ซึ่งอยู่ในพื้นที่พิเศษ ตามระเบียบการของ ทบ. เราตัดสินใจลงของพื้นที่พิเศษ น่าจะมีโอกาสมากกว่า เพราะโควต้าจังหวัด มีเพื่อนเขาลงด้วยอีก 2 คน
และแล้ววันประกาศผลสอบวิชาการรอบแรก ลูกชายเป็น 1 ในนั้น
ตอนนี้ความฝัน เริ่มเห็นรำไร เพราะว่าขอแค่ทำให้ดี ไม่ประมาท ไม่ทำให้ตก ก็มีโอกาสที่จะติดรอบ 2 เราไม่ได้แข่งกับใคร เราแข่งกับตัวเอง
วันไปสอบพละที่สนาม จปร. แม่ลุ้นทุกสถานีสอบ
ภาวนาว่า อย่าประมาท อย่าเจ็บ ทำให้ดีเหมือนๆที่ซ้อม ทุกอย่างโปร่งใส เห็นลูกๆทุกสถานีผ่านหมดทุกสถานี เหลือแต่สอบสัมภาษณ์
จนวันสุดท้ายสอบภาษณ์ภาวนาว่าขอให้ทุกอย่างราบรื่น ไปได้ด้วยดีและรอลุ้นในวันประกาศผลสอบตัวจริง
วันประกาศผลสอบตัวจริง ตื่นแต่เช้านั่งเช็คในเน็ต ก็ยังไม่ประกาศ (วันนี้เป็นวันแรกลูกไปสอบปลายภาค ม.4 เทอม 2 พอดี)
มีคุณแม่ปี 63 คุณพ่อปี 64 ส่งข้อความทักมา และแคปหน้าจอมาให้
ดีใจ ปลื้มใจ กอดคอลูกชาย ร้องไห้ ด้วยความดีใจ ตลอดที่ผ่านมาเราเหนื่อยมาขนาดไหน ทั้งเข็น ทั้งบ่น ทั้งท้อ แต่วันนี้เราได้ชื่นชมกับความสำเร็จไปหนึ่งขั้น
ทางที่เหลือต่อจากนี้ ลูกต้องเดินด้วยตัวลูกเองแล้ว แม่แค่ยืนดูและให้กำลังใจ กลับมาจะมีอ้อมกอดของแม่เสมอที่ไม่เคยทิ้งลูก
# หลังจากสอบติดตัวจริง ภารกิจคือ แก้บน ยาวไป ยาวไปค่ะ
ชนกพร ศรีฤกษ์ ผปค.นรม.จิรปัญญา ศรีฤกษ์ กองพัน 3 ตอน 12 เลขที่ 4
สมาคมผู้ปกครองเเละครูโรงเรียนเตรียมทหาร