คำนำ
The Catcher in the Rye ผลงานของ J.D. Salinger ในฉบับแปลชื่อ “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” เป็นงานวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลก ทั้งเนื้อหาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานวรรณกรรมชั้นเยี่ยม
รวมถึงโยงกับเหตุบุกสังหาร John Lennon จอห์น เลนนอน หนึ่งในสี่เต่าทอง The Beatles ที่มือสังหาร มาร์ค เดวิด แชปแมน (Mark David Chapman) ยืนยันว่าได้รับอิทธิพลแรงจูงใจจากการซึมซับเนื้อหาของวรรณกรรมเรื่องนี้ จนก่อคดีสะเทือนโลกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1980
สำหรับเนื้อหางานวรรณกรรมชิ้นนี้ เป็นเรื่องของสังคมอเมริกันช่วงทศวรรษที่ 50 วัยรุ่นระดับมัธยมปลายคนหนึ่ง “โฮลเด้น คอลด์ฟีลด์” มีความคิดแปลกแยกไปจากสังคม
เรื่องดำเนินไปเหมือนบันทึกส่วนตัวของคนคนหนึ่ง แสดงให้เห็นภาวะจิตใจของเด็กชายที่กำลังเติบโต แสวงหาตัวตนที่แท้จริง ความหมายของชีวิต ที่สะท้อนไปถึงปัญหาของวัยรุ่นทั่วไปในทุกสังคม แม้จนทุกวันนี้ ยังต้องแสวงหาความหมายของชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ต้นฉบับเดิมของวรรณกรรมชิ้นนี้ ใช้ภาษาสำนวน สะแลง ของวัยรุ่นอเมริกันในยุค 50 มีศัพท์แสงที่ไม่สุภาพบ้างเป็นเรื่องปกติเพื่อให้ได้ความหมายใกล้เคียงและซาบซึ้งกับผู้ประพันธ์ จึงคงรักษาความหมายเดิมให้มากที่สุด หวังว่าผู้ลิ้มลองรับรสชาติวรรณกรรมจะได้รับอรรถรสและประโยชน์จากงานระดับมาสเตอร์พีซของผู้ประพันธ์ได้ไม่มากก็น้อย
เดชา ภู่พิชิต ผู้แปล
ตอน 1
ถ้าคุณอยากจะรู้ความจริง สิ่งแรกคุณคงอยากรู้ว่าผมเกิดที่ไหนชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไร แล้วก็พ่อแม่ของผมดำเนินชีวิตกันอย่างไร มีความเป็นมาอย่างไรก่อนที่ผมจะถือกำเนิดมา หรืออะไรเทือกนั้น
แต่ผมไม่รู้สึกอยากจะก้าวลึกลงในรายละเอียดอย่างนั้นเลย ประการแรก มันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายอะไรปานนั้น ประการต่อมา พ่อกับแม่ผมคงจะเลือดกระฉูดไม่หยุด ถ้าขืนผมเล่าเรื่องส่วนตัวของท่านให้คุณฟัง ทั้งสองท่านถือตัวมากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ พ่อผมนั่นล่ะใช่เลย แต่ถึงยังไงทั้งสองท่านก็เป็นคนน่ารักผมไม่ได้พูดเองนะ ทั้งสองท่านเป็นคนถือตัวอย่างกับอะไรดี
อีกประการหนึ่งผมไม่อยากเล่าประวัติส่วนตัวที่ห่วยแตกนักหรอก ผมเพียงแค่จะบอกเล่าเรื่องราวของคนเส็งเคร็งที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงคริสต์มาสที่แล้ว ก่อนที่ผมจะถูกจับได้ไล่ทันและถูกเฉดหัวออกมานี่แหละ
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ ดี.บี. ฟังแล้วล่ะ อ้อ ดี.บี. เป็นพี่ชายผมเอง อาศัยอยู่ย่านฮอลลีวูด ไม่ไกลจากที่นี่นัก เขามีเจ้าจากัวร์สปอร์ตหรูจากอังกฤษ เหยียบคันเร่งกระชากให้เร็วปานพายุถึงสองร้อยไมล้ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว ราคาก็แพงระยับร่วมสี่พันเหรียญ
ตอนนี้พี่ชายผมอู้ฟู่ไม่หยอก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่มีอะไร เป็นแค่นักเขียนก๊อกๆแก๊กๆคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ได้ออกจากบ้านไปสร้างตัว เขาแต่งเรื่องน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องสั้นชุด “เจ้าปลาทองลึกลับ” คุณต้องไม่เคยได้ยินมาแน่ๆ
เรื่องสั้นที่เด่นในชุดนี้ก็ชื่อเดียวกับชื่อรวมชุดเรื่องสั้นนั่นแหละ เนื้อหาประมาณว่าหนูน้อยคนหนึ่งไม่อยากให้ใครๆ เห็นปลาทองที่เขาเลี้ยงไว้ เพียงแค่เขาซื้อปลาทองตัวนั้นมาด้วยเงินเก็บของเขาเอง โอยจะบ้า! เดี๋ยวนี้พี่ชายผมย้ายไปอยู่ฮอลลีวูด ไปเป็นจิ๊กกะโล่แถวนั้น ถ้าจะมีอะไรที่ผมเกลียดสุดๆ ไม่พ้นเรื่องหนังฮอลลีวูด อย่ามาคุยกับผมเรื่องพวกนี้ให้เสียเวลาเลย
เรื่องที่ผมอยากจะเริ่มต้นเล่าให้คุณฟัง เป็นช่วงวันที่ผมเผ่นแนบออกจากเพนซี่ เพรพ โรงเรียนในเมืองอาเกอร์ส ทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนีย คุณคงเคยได้ยินชื่อเสียงบ้างหรอกน่า หรือไม่ก็อาจจะเคยเห็นในโฆษณาที่ไหนสักแห่งบ้างล่ะ เห็นลงในแมกกาซีนหลายพันเล่มจะมีภาพเจ้าหนุ่มมาดสุดเท่ เสน่ห์แรง นั่งบนหลังม้าที่กำลังกระโดดข้ามรั้ว ราวกับว่าสิ่งที่คุณจะได้เห็นในเพนซี่ มีแค่ขี่ม้าแข่งโปโลกันทั้งปีแน่ะ
ให้ตายชักสิ ผมไม่ยักจะเห็นม้าสักตัวหนึ่งในโรงเรียนแถวนี้ แถมยังบรรยายภาพเจ้าหนุ่มบนหลังอาชาว่า“ตั้งแต่ปี 1888 เราได้สร้างเด็กหนุ่มให้สง่างาม เต็มไปด้วยไหวพริบฉลาดเฉลียว” ฟังดูขลังแท้ แต่พวกเขาไม่เห็นจะสร้างแบบอย่างที่ดี ที่เพนซี่ มากกว่าที่ ๆ อื่นเขาทำ
อีกอย่างหนึ่ง ผมก็ไม่ยักจะเห็นใครในโรงเรียนนี้ ที่ดูท่าทางสง่าผ่าเผยและมีความฉลาดไหวพริบดีเลย ให้ตายเถอะ! อย่างมากก็มีไม่เกินคนสองคน แล้วผมว่าเขาก็เป็นอย่างนั้นมาก่อนที่จะเข้ามาเรียนเพนซี่อยู่ก่อนแล้ว
เอาล่ะ ตอนนั้นเป็นวันเสาร์ที่มีเกมฟุตบอลกับทีมโรงเรียนแซกซอนฮอลล์ เป็นนัดสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับเพนซี่ เป็นเกมนัดสุดท้ายของปีนั้น ขนาดที่คุณอยากจะตายถ้าหากเพนซี่พ่ายนัดนั้น
ผมจำได้ว่าราวบ่ายสามโมง กำลังมุ่งไปที่เนินเขาธอมเซน ฮิลล์ อยู่ถัดกับจุดที่ลูกกระสุนปืนใหญ่ตกสมัยสงครามปฏิวัติ คุณมองเห็นทิวทัศน์ของท้องทุ่งทั้งหมดได้จากจุดนั้น เห็นนักฟุตบอลสองทีมวิ่งไล่บดขยี้กันไปทั่วสนาม แม้จะไม่เห็นอัฒจันทน์ชัดนัก แต่ยังได้ยินเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม เร้าอารมณ์ยิ่งนักในฝั่งของชาวเพนซี่เพราะว่าคนทั้งโรงเรียนไปรวมกันอยู่ที่นั่น ยกเว้นผมคนเดียว
ส่วนฝ่ายแซกซอน ฮอลล์ กลับเงียบหงอย เพราะมาเยือน ไม่มีกองเชียร์ติดตามมาเชียร์ด้วย
ในเกมฟุตบอลแทบไม่มีผู้หญิง มีแต่รุ่นพี่เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ควงสาวๆ มาเชียร์ได้ โรงเรียนนี่ห่วยมาก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนผมอยากจะไปที่ไหนสักแห่ง อย่างน้อยยังพอมีสาว ๆให้เหล่ชายตามองได้บ้าง แม้จะเห็นพวกเธอเกาแขนยุกยิก หัวร่อร่วนแค่นั้น
เซลมา เธอร์เมอร์ ลูกสาวของอาจารย์ใหญ่ มาดูเกมบ่อย ๆ แต่เธอไม่ใช่แบบที่จะทำให้คุณคลั่งไคล้ใหลหลงหรอก แค่เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง ผมเคยนั่งใกล้ ๆ ครั้งหนึ่ง ในรถบัสจากอาเกอร์สทาวน์ เราคุยกันไม่หยุด ผมชอบเธอนะ จมูกโต เล็บนิ้วมือมีรอยกัดแทะบิ่นแตกและมีรอยห้อเลือด มีรอยแผลแทบทั้งตัว ช่างน่าเวทนาเสียจริง
สิ่งที่ผมชอบในตัวเธอคือไม่ทำให้คุณเหม็นเบื่อที่จะเอาแต่พูดยกย่องความยิ่งใหญ่ของพ่อเธอเอง บางทีเธอจะรู้แต่เรื่องว่าพ่อเธอเป็นคนเพ้อเจ้อเหลวไหลมากกว่าเสียอีก
เหตุผลที่ทำให้ผมขึ้นไปที่เนินธอมเซน ฮิลล์ฺ แทนที่จะลงไปร่วมเชียร์ฟุตบอลกับเพื่อนๆ คือผมเพิ่งกลับมาจากนิวยอร์กพร้อมกับทีมนักกีฬาฟันดาบ ผมเป็นผู้จัดการทีมเชียวนะ ไม่เบาเลยใช่เปล่า
เราไปนิวยอร์กเช้าวันนั้นเพื่อแข่งฟันดาบเชื่อมสัมพันธ์กับโรงเรียนแมคเบิร์นนีย์ เพียงแต่ผมไม่ได้ลงแข่งด้วยเท่านั้นเองเพราะผมดันลืมอุปกรณ์ดาบและชุดแข่งขันที่สถานีรถไฟใต้ดิน มันไม่ใช่ความผิดของผมหรอก ผมต้องคอยดูแผนที่เส้นทางรถไฟใต้ดิน จะได้รู้ว่าไปลงที่สถานีไหน เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ต้องกลับมาเพนซี่ ถึงราวบ่ายสองโมงกว่า แทนที่จะกลับถึงช่วงหัวค่ำ นักกีฬาในทีมไม่คุยกับผมเลยตลอดการเดินทางขากลับทุเรศฉิบ!
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่อยากไปมีส่วนร่วมกับเกมฟุตบอลเพราะผมกำลังมุ่งหน้าไปบอกลาท่านสเปนเซอร์ ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ ท่านเป็นไข้หวัดเรื้อรัง ผมคิดว่าอาจจะไม่ได้เจอท่านอีก จนถึงวันเริ่มเทศกาลคริสต์มาส ท่านเขียนโน้ตถึงผม บอกว่าอยากเจอผมก่อนที่จะกลับบ้าน ท่านทราบดีว่าผมจะไม่กลับมาเรียนที่เพนซี่อีกแล้ว
ผมลืมบอกไปว่าผมถูกไล่ออกจากเพนซี่ ไม่อาจจะกลับมาเรียนอีกหลังช่วงวันหยุดยาวเทศกาลคริสต์มาส เพราะผมสอบตกถึงสี่วิชา แล้วยังไม่ปรับปรุงตัวเอง ทางโรงเรียนมีหนังสือเตือนซ้ำๆให้พยายามปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ได้
โดยเฉพาะช่วงกลางเทอมพ่อแม่ผมต้องมาพบอาจารย์ใหญ่เธอร์เมอร์ แต่ผมไม่ทำตาม ก็เลยถูกตัดหาง ที่นี่เขาไล่นักเรียนออกอยู่บ่อย ๆ เพนซี่ช่างเป็นสถาบันการศึกษาชั้นยอดเหลือเกินนะ เขาว่ากันอย่างนั้น
ช่วงธันวาคม อากาศหนาวยะเยือกยังกับหัวนมแม่มด บนยอดเนินเขายิ่งไปกันใหญ่ ผมมีแค่เสื้อกันหนาวกลับด้านได้เท่านั้นทั้งยังไม่สวมถุงมืออีกต่างหาก สัปดาห์ที่แล้ว เสื้อคลุมทำด้วยขนอูฐของผมโดยสอยไปจากหอพัก รวมทั้งถุงมือขนเฟอร์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมนั้นด้วย
เพนซี่เต็มไปด้วยพวกหัวขโมย มีไม่กี่คนที่มาจากครอบครัวฐานะดี แต่ถึงยังไงมันก็มีแต่พวกขี้ขโมยอยู่ดีแหละ ยิ่งเป็นโรงเรียนมีระดับแค่ไหน ยิ่งมีไอ้พวกขี้ขโมยมากเป็นทวีคูณไม่ใช่เล่นนะ
ผมเดินมาถึงบริเวณที่ตั้งลูกปืนใหญ่ มองลงไปยังสนามแข่งฟุตบอล ยิ่งรู้สึกหนาวชาแทบแข็งไปทั้งร่าง ให้ตายเถอะ ผมไม่ค่อยได้ดูเกมฟุตบอลมากนัก ที่มาแกร่วอยู่แถวนี้ ผมแค่อยากรู้สึกถึงบรรยากาศที่จะอำลาอาลัยจากโรงเรียน จากสภาพแวดล้อมที่ผมกำลังจะจากไปเท่านั้นเอง
ผมละเกลียดนัก ไม่สนหรอกว่ามันจะเป็นฉากเศร้าใจ หรือการลาจากไปอย่างดุ่ย ๆ ผมอยากรู้ว่าจะต้องจากไปแล้วจริง ๆ ถ้าคุณคิดว่าไม่เห็นจำเป็น คุณอาจจะยิ่งรู้สึกเลวร้ายกว่านี้ก็เป็นได้นะ
โชคดีของผม ทุกอย่างที่ผมคิดมันช่วยให้ผมสำเหนียกดีว่ากำลังจะได้พ้นไปเสียที ทันใดก็หวนระลึกถึงช่วงเวลาเดือนตุลาค ที่ผมกับโรเบิร์ต ทิชเนอร์ และพอล แคมป์เบลล์ เล่นบอลอยู่หน้าอาคารวิชาการ
พวกนี้น่าคบอยู่หรอก โดยเฉพาะทิชเนอร์ ช่วงโพล้เพล้เรายังเล่นเตะบอลกันอยู่ มันเริ่มมืดลงเรื่อยๆ แทบจะมองไม่เห็นลูกบอล แต่เราก็ยังไม่อยากเลิกเล่น ถึงที่สุดก็ต้องหยุดเล่นอาจารย์แซมเบซี่ สอนชีววิทยา ท่านโผล่หน้าจากหน้าต่างของอาคาร ตะโกนบอกพวกเราให้รีบกลับเข้าหอพัก เตรียมตัวกินอาหารค่ำ
ผมจำเหตุการณ์พวกนี้ได้ดี ผมสามารถจะบอกลาโรงเรียนได้ทุกเมื่อ อย่างน้อยที่สุด ทุกเวลาที่ทำได้ เท่าที่จะทำได้ ผมหมุนไปรอบ ๆ แล้วเริ่มเดินลงจากเนินเข้าไปอีกด้านหนึ่ง มุ่งตรงไปยังบ้านอาจารย์สเปนเซอร์ ท่านไม่ได้พักอยู่ในโรงเรียน ท่านอยู่แถวถนนแอนโทนี เวย์
ผมวิ่งไปตลอดทางจนถึงประตูให่ จากนั้นหยุดพักหายใจชั่วครู่ เพราะแทบจะหายใจไม่ออก ความจริงแล้วผมก็แค่ขี้ยาคนหนึ่งเคยสูบบุหรี่จัด พวกเขาทำให้ผมเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาด อีกอย่างหนึ่งผมมีความสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 6 นิ้วครึ่ง นั่นก็ด้วย ที่ทำให้ผมเหมือนคนเป็นโรคปอดอักเสบ ต้องไปตรวจสุขภาพข้างนอก แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังมีสุขภาพดีพอสมควร
จนเมื่อผมรู้สึกหายใจคล่องเป็นปกติแล้ว ผมจึงวิ่งตัดข้ามถนน 204 มันหนาวเย็นยะเยือกเสียจนเกือบล้มกลิ้ง ไม่คิดหรอกว่าวิ่งทำไม แค่อยากจะวิ่งเท่านั้นหรือ พอข้ามถนนแล้วรู้สึกเหมือนกับหายตัวได้ มันเป็นช่วงบ่ายที่พิลึก หนาวเย็นน่าสยอง ไม่มีแดดแม้แต่น้อย คุณคงอยากจะหายตัวได้ตลอดเวลาที่ข้ามถนน
ไอ้หนูเอ๊ย! ผมสั่นกระดิ่งประตูอย่างเร็วทันทีที่ถึงหน้าบ้านอาจารย์สเปนเซอร์ ตัวผมแทบจะแข็งโป๊ก ปวดร้าวไปทั้งใบหูและแทบกระดิกนิ้วไม่ได้ “เร็ว ๆ “ ผมตะโกนเสียงลั่น “เปิดประตูด้วยครับจารย์” ในที่สุดคุณนายสเปนเซอร์ ภรรยาอาจารย์สเปนเซอร์ก็เปิดประตูรับทั้งคู่ไม่มีแม่บ้าน จึงคอยเปิดประตูเองตลอด ก็ท่านไม่ได้มีสะตุ้งสะตังค์ร่ำรวยอะไรนี่นา
“โฮลเด้น” คุณนายสเปนเซอร์เอ่ยทัก “ดีใจจังได้พบเธอ เข้ามาสิพ่อหนุ่ม โถ ตัวแข็งแทบตายใช่ไหมล่ะ” ผมคิดว่าเธอดีใจที่ได้เจอผมแน่นอน เธอชอบผม ผมว่าอย่างนั้นนะ
ไอ้หนูเอ้ย! ผมเผ่นพรวดเข้าไปในบ้าน “เป็นไงบ้างครับคุณนายสเปนเซอร์” ผมทักทาย “อาจารย์สเปนเซอร์เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ให้ฉันถอดเสื้อคลุมเธอก่อน” เธอพร่ำบอก คงไม่ได้ยินที่ผมถามถึงท่านอาจารย์สเปนเซอร์ เธอหูตึงแน่ ๆ
คุณนายสเปนเซอร์เอาเสื้อคลุมขึ้นแขวนที่ตู้เสื้อผ้า ผมสะบัดเสยผมไปข้างหลัง ผมไว้ผมสั้นแทบไม่ต้องใช้หวีเลย “คุณนายล่ะเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเอ่ยซ้ำอีก ส่งเสียงดังขึ้น ๆ จนเธอได้ยินชัดเจน
“ก็สบายดีโฮลเด้น” เธอพูดพลางปิดประตูตู้เสื้อผ้า “แล้วเธอล่ะ เป็นยังไง” ท่าทีที่เธอถามผม น่าเชื่อว่าท่านอาจารย์สเปนเซอร์คงเล่าให้ฟังแล้วว่าผมถูกเตะโด่งออกมาแล้ว
“ก็ดีครับ” ผมตอบ “แล้วอาจารย์สเปนเซอร์ล่ะ หายจากไข้หวัดแล้วรึยังครับ”
“หายแล้ว โฮลเด้น เขาทำยังกับหายดีแล้ว ไม่รู้ยังไงกันแน่เขาอยู่ในห้องนอนน่ะ เข้าไปหาเลยสิ”