Sunday, November 24, 2024
More
    Homeข่าวเด่นรอบวันสตม.แถลงจับกุมชาวต่างชาติกระทำผิด3คดี

    สตม.แถลงจับกุมชาวต่างชาติกระทำผิด3คดี

    วันที่10ก.ค.67ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผทค.พิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักด์ิ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม.

    พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.ตม.5 ปฏิบัติราชการ บก.ตม.1, พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4, พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1

    ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสาคัญ ดังนี้
    1. สตม. รวบหนุ่มไต้หวันหัวหมออยู่เกินวีซ่า ปลอมใบรับรองแพทย์หลอกกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ในไต้หวัน ตุ๋นเงินสวัสดิการรัฐไปนับล้าน

     ชุดสืบสวนสังกัด กก.สืบสวน บก.ตม.1 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวนฯ ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายลับว่าพบเห็นชายสัญชาติไต้หวันพักอาศัยอยู่ซอยแจ้งวัฒนะ 10 ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ สงสัยว่าจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงได้สืบสวน หาข่าวจนทราบว่าชายชาวไต้หวันดังกล่าวคือ MR.WEI CHIA-MING (นามสมมติ) อายุ 53 ปี ซึ่ฃการอนุญาตให้อยู่ใน ราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้วและได้ประสานงานกับ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย เพื่อตรวจสอบประวัติ

    พบว่า MR.WEI CHIA-MING มีประวัติก่ออาชญากรรมในความผิดฐานฉ้อโกงเงินของรัฐบาล โดยการปลอมแปลงเอกสารใบรับรองแพทย์ของบุคคลอื่นและแอบอ้างเป็นทนายความเพื่อเบิกเงินสวัสดิการ ประกันสังคม  ส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนไทยที่เคยไปทำงานที่ไต้หวัน มูลค่าความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท แล้วได้เข้ามาในประเทศไทย

    กก.สส.บก.ตม.1 จึงเฝ้าติดตามสืบสวนหาข่าวจนทราบเบาะแสว่า MR.WEI CHIA-MING ได้ แอบมาหลบซ่อนตัวอยู่กับหญิงไทยในย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ จึงได้วางแผนจับกุมในข้อหา เป็นคนต่าง ด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป

    2. สตม.ซ้อนแผน รวบหนุ่มแดนปลาดิบแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติอยู่เกินวีซ่า เหิมขู่ฆ่าอดีตแฟนสาว พบประวัติเอี่ยวแก๊งอุ้มโหดกลางกรุงโตเกียว

      กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับการประสานงานจากพนักงานสอบสวนในสังกัด บช.น. ให้สืบสวนติดตาม Mr.ICHIRO (นามสมมติ) อายุ 30 ปี ชาวญี่ปุ่น  มีพฤติการณ์เข้าลักษณะเป็นภัยต่อสังคม เนื่องจากมี นางสาวบี (นามสมมติ) ชาวไทยผู้เสียหาย  แจ้งความว่าได้ถูกMr.ICHIRO อดีตแฟนหนุ่มทำร้ายร่างกายกักขังหน่วงเหนี่ยว

    ตรวจสอบข้อมูลพบว่า Mr.ICHIRO อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และได้ข้อมูลจากผู้เสียหายว่า Mr.ICHIRO มีอารมณ์รุนแรง มักจะส่งข้อความมาขู่ฆ่า ส่งรูปอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือคลิปวิดิโอที่ถ่ายในบริเวณละแวกบ้านพักผู้เสียหายมาคุกคาม และแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายถูกติดตามและจับตาดูอยู่

    ต่อมา กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับข้อมูลว่า Mr.ICHIRO อยู่ในอาการคล้ายมึนเมา ก้าวร้าว เดินทางมาวนเวียนหาตัวผู้เสียหาย  ส่งคลิปสถานที่ละแวกบ้านของผู้เสียหาย พร้อมทั้งข้อความขู่ฆ่า ตั้งแต่ช่วงกลางดึกถึงช่วงเช้า กก.1 บก.สส.สตม. จึงวางกำลังคุ้มครอง ผู้เสียหาย และ เฝ้าคอยตรวจสอบ

    กระทั่งพบรถยนต์หรูยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด ต้องสงสัยวนเวียนไปมาที่ริมถนนหน้าสถานี บริการน้ำมัน ปตท. ถ.เจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ จึงได้ขอตรวจสอบ พบว่า Mr.ICHIRO นั่งอยู่ในรถยนต์จึงได้จ้บกุมดำเนินคดี

    จากการประสานข้อมูลกับทางการญี่ปุ่นรับแจ้งว่า Mr.ICHIRO เป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมมีชื่อ ในประเทศญี่ปุ่น  ร่วมกับพวกรวม 5 คน ก่อคดีอุ้มลักพาตัว ทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว ในเขตกรุงโตเกียว หลังจากนั้นได้มากบดานในประเทศไทย และมาก่อความรุนแรงกับหญิงไทยจนถูกจับกุมดังกล่าว

    3. รวบหัวหน้าแก๊งรัสเซียปลอม นำเข้า จำหน่าย หนังสือเดินทางปลอม และหลอกทำหนังสือเดินทาง ความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

    กก.4 บก.สส.สตม. ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุม นายอาเทม (นามสมมติ) อายุ 44 ปี ชาวรัสเซีย ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 557/2567 ลงวันที่ 26 มิ.ย.2567 ในความผิดฐาน “ทาหนังสือเดินทางปลอมขึ้น ทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดฯ, จาหน่ายหนังสือเดินทางปลอมฯ, นาเข้าหนังสือเดินทางปลอมฯ” นำตัวส่งพนักงาน สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย  จับกุม ห้องพักในคอนโดมิเนียมย่าน ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ

    หลังสืบสวนในทางลับเกี่ยวกับองค์กร อาชญากรรมข้ามชาติที่ทำหนังสือเดินทางปลอม ทราบวา่ ขบวนการดังกล่าว ร่วมกันนำเข้าหนังสือเดินทางและจำหน่ายหนังสือเดินทางปลอมในประเทศไทย

    ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้รับภาพถ่ายหน้าหนังสือเดินทางปลอม ของประเทศสหรัฐอเมริกา จากการตรวจสอบภาพถ่ายหนังสือเดินทางดังกล่าวโดยละเอียด พบลักษณะพิรุธมีความ ผิดปกติหลายจุด น่าเชื่อว่าจะเป็นหนังสือเดินทางปลอมของประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้สอบถามไปยังหน่วยสืบสวนอาชญากรรมข้ามชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา Overseas Criminal Investigations Unit (OCIU) ประจำประเทศไทย และได้รับการยืนยันว่าเป็นหนังสือเดินทางปลอม

    จากการสืบสวนพบว่าขบวนการดังกล่าวได้มีการลงโฆษณาอย่างโจ่งแจ้งในแอปพลิเคชัน VK, Telegram, WhatsApp และผ่านเว็บไซต์ (passpart.pro) ว่าสามารถทำหนังสือเดินทางได้ 15 สัญชาติ  เป็นการขอสัญชาติแบบถูกต้อง  มีการชำระเงินผ่านบัญชีเงินดิจิทัล และได้มีการเปิดบริษัทในประเทศไทยเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    ทั้งนี้ มีผู้เสียหายหลายคนหลงเชื่อและได้ติดต่อไป  แต่ไม่ได้รับหนังสือเดินทาง และบางรายที่ได้รับ หนังสือเดินทางก็เป็นหนังสือเดินทางที่ปลอมขึ้น

    จากการตรวจสอบพบว่าหนังสือ เดินทางที่ปลอมขึ้น ส่งมาโดยบริษัทขนส่ง FEDEX จากประเทศโดมินิกัน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ประสานกับหน่วยสืบสวนอาชญากรรมข้ามชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม จนทราบว่าหัวหน้าของกลุ่มขบวนการ ดังกล่าวคือ นาย อาเทม (นามสมมติ) ชาวรัสเซีย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเสนอรายงานการสืบสวนต่อ ผู้บังคับบัญชาและร้องทุกข์ต่อ พงส.บก.สส.สตม.ดำเนินการตามกฎหมาย

    ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.4.บก.สส.สตม., กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้ขออนุมัติหมายจับจาก ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้จับกุมนาย อาเทม ในข้อหา “ทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดฯ, จำหน่ายหนังสือเดินทางปลอมฯ, นำเข้าหนังสือเดินทางปลอมฯ” และได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อพบตัวบุคคลตามหมายจับและเพื่อพบพยานหลักฐาน และจับกุมได้พร้อมตรวจยึดพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง  12 รายการ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก สมุดบัญชีและบัตรเครดิตของต่างประเทศ

    ตรวจสอบขยายผลพบว่า ขบวนการดังกล่าว มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีบุคคลที่อยู่ต่างประเทศที่ประเทศโดมินิกันรับคำสั่งในการทำหนังสือเดินทางปลอม นายอาเทม ทำหน้าที่โฆษณาและพูดคุยกับผู้เสียหายทั้งหมดและจัดการเรื่องเงินที่ได้รับจากผู้เสียหาย ทั้งนี้ผู้เสียหายไม่ทราบว่า หนังสือเดินทางนั้นเป็นของปลอม ทำให้มีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก โดยการติดต่อซื้อขายนั้นทำผ่านแอปพลิเคชัน TELEGRAM  ความเสียหายที่ตรวจพบในเบื้องต้นทั้งหมดรวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments