ตำรวจภูธรภาค 2 ขยายผลติดตามจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์ หลอกให้ร่วมลงทุนออนไลน์แพ็คสบู่ อ้างรายได้ดี สุดท้ายสูญเงินไป1.7ล้านบาท
ด้วยมีผู้เสียหาย แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านนาจ.นครนายก ว่า ช่วงวันที่ 8 – 17 ส.ค.66 เห็นโพสต์โฆษณาเฟซบุ๊คร่วมลงทุนงานแพ็คสบู่ ผู้เสียหายสนใจกดเข้าไปดู พูดคุยกับกลุ่มคนร้ายผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ และถูกลวงว่าจะได้เงินดี แรกๆได้เงินดี แต่หลังๆขาดทุนและถูกหลอกให้ลงทุนเพิ่ม ผู้เสียหายหลงเชื่อยืมญาติพี่น้องโอนเงินไปให้กลุ่มคนร้ายรวม 11 ครั้ง รวมความเสียหาย 1,767,289.93 บาท
หลังรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนได้เสนอเรื่องตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 182/2566 มายังกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ให้สืบสวนหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 มอบหมาย พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทองรอง ผบช.ภ.2 หัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของตำรวจภูธรภาค 2 สืบสวนสอบสวนโดยเฉพาะ
ออกคำสั่งตำรวจภูธรภาค 2 ที่ 376/2566 ลงวันที่ 8 ธ.ค. 2566 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว มีพล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 พบว่า กลุ่มคนร้ายกระทำกันเป็นขบวนการ ลักษณะเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์ หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีต่างๆหลายบัญชี จากนั้นได้โอนเงินไปยังบัญชีที่เกี่ยวข้อง ลักษณะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันไปเป็นทอดๆ แทบจะทันดีทันใด
จากการขยายผลพบยังอีกว่า มีผู้เสียหายคนอื่นๆที่ถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จากการสืบสวนดังกล่าวได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ จากศาลจังหวัดนครนายก 13 หมายจับ ในวันที่ 26 ธ.ค.66
ฐานความผิด “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ”
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 ได้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดในทันที ผลการปฏิบัติ ระหว่างวันที่ 26 – 27 ธ.ค. 66 จับผู้ต้องหาแล้ว 7 ราย คือ
1.นายนภัสรพีฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่เขตประเวศ จ.กรุงเทพฯ เจ้าของบัญชีม้า ,
2.นายจันทกรานต์ฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี เจ้าของบัญชีม้า ,
3.นายจักรชัยฯ(ขอสงวนนามสกุล)จับที่ อ.พระสมุทรเจดีย์จ.สมุทรปราการ เจ้าของบัญชีม้า
4.นายชิณวัตรฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร รับจ้างเปิดบัญชีออนไลน์ ให้กับบุคคลอื่นที่อยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา และได้ส่งข้อมูลบัญชีพร้อมสแกนใบหน้าไปทางช่องทางออนไลน์
5.น.ส.จิรภิญญาฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ผู้รับจ้างเปิดบัญชีออนไลน์ ให้กับชาวจีน และเคยทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งกัมพูชา จะได้เงินค่าสแกนใบหน้าโอนเงินเพิ่มในการโอนเงินแต่ละครั้ง
6.น.ส.กนกลักษณ์ฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว รับว่าเคยทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งกัมพูชา โดยอ้างว่าถูกหลอกและบังคับให้ทำงาน
7.น.ส.อุไรภรณ์ฯ (ขอสงวนนามสกุล) ถูกคุมขังจับกุมที่เรือนจำสมุทรปราการ ในความผิดเกี่ยวกับคดีออนไลน์ในคดีอื่นได้อายัดตัวเพื่อดำเนินคดีนี้ด้วย และในส่วนของผู้ต้องหาคนอื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 ยังคงเร่งดำเนินการติดตามจับกุมเพื่อมาดำเนินตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด
จากการสืบสวนขยายผลจากการจับกุมใน 2 วันที่ผ่านมาทำให้ทราบอีกว่าผู้ต้องหาบางรายเคยเป็นแอดมินให้กับแก๊งคอลเซนเตอร์นี้อยู่ที่ฝั่งกัมพูชา จะดูแลเรื่องของการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนในโอนเงินเกิน50,000 บาท โดยเฉพาะ จะได้ค่าจ้างกับเจ้าของบัญชีม้าในเครือข่ายในการโอนครั้งละ 500 บาท เป็นพฤติการณ์การกระทำความผิดรูปแบบใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 จะสืบสวนไปยังคนร้ายอื่นๆในเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ต่อไป