เขาหนุ่มใหญ่ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสะดุดตา
เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกรอมข้อศอกรีดเรียบ กางเกงขาสั้นขนาดหัวเข่า สวมถุงเท้ายาวราวหัวเข่าสีดำ รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล ที่เด่นไม่เหมือนใครคือสวมหมวกหนีบสีกากีแกมน้ำตาลแบบที่ทหารใช้ มักพบเห็นนั่งยืนอยู่กับแผงสินค้าแบกะดิน บนทางเท่้สะพานลอยคนข้าม
สินค้าที่เขานำมาวางให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้เลือกซื้อ อาทิ พวงกุญแจตุ๊กตาซองใส่บัตรห้อยคอ หวี ผ้าผูกผม โบว์ระดับผม สร้อยมุก เคสโทรศ์พท์ ถุงเท้าา และอีกสารพัดของใช้เล็กๆน้อยๆ ในราคาค่างวดเพียงยี่สิบบาทเป็นส่วนใหญ่ เหมาะกับลูกค้าคนเดินดินกินข้าวแกงพอจะเจียดเงินเลือกซื้อได้อย่างไม่รู้สึกเสียดายเงินทองที่หามาได้อย่างยากลำบากเหลือเข็ญ
กิจการร้านแบกะดินของหนุ่มใหญ่ผู้นี้จะเปิดช่วงเช้าเวลาที่คนเดินทางกันหนาตาเพื่อไปทำงานไปร่ำเรียนไปธุระปะปังต่างๆ พอช่วงเจ็ดโมงก็จำต้องเก็บแผงสินค้าของเขา เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่เทศกิจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้คนที่ต้องการสัญจรอย่างรีบเร่ง เคลียร์พื้นที่ทำมาหากินของเขากับเพื่อนร่วมอาชีพพ่อค้าแม่ค้าแบกะดินอีกสี่ห้าเจ้า
รวมทั้งคนจร วณิพกริมทางให้พ้นกีดขวางทางเดินของผู้คนส่วนใหญ่ จนสายแปดโมงครึ่งถึงได้กลับมาเปิดกิจการให้บริการลูกค้าที่นิยมของใช้ราคาจับต้องได้ไม่ลังเลคิดมาก
วิถีชีวิตการประกอบอาชีพของพ่อค้าแม่ค้าแบกะดินบนสะพานลอยหรือตามฟุตปาททั่วไป คงคล้ายคลึงกันไม่ต่างจากบริเวณที่แห่งนี้สักเท่าใด
หากจะล้อเล่นคงเปรียบได้กับสงครามจรยุทธ์เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าตี เอ็งหนีข้าตาม อะไรทำนองนั้น แต่มักไม่มีเหตุขัดแย้งอะไรกัน เพราะทุกคนรู้หน้าที่รู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่ได้คาดคั้นเอาชนะคะคานอย่างเต็มที่
ช่วงสายพอร้างลาลูกค้าไปแล้ว พ่อค้าในชุดเด่นสะดุดตาเป็นเอกลักษณ์บนพื้นที่ประกอบสัมมาอาชีพที่รู้จักมักคุ้นกันก็นั่งเสวนาสารทุกข์สุกดิบหรือคุยสัพเพเหระกัน เหมือนเพื่อนสนิทไปเลย
เขามีท่าทางสุขุมลุ่มลึกเหมือนมาดการแต่งกายอย่างสุภาพไม่ค่อยเอื้อนเอ่ยพูดจากับเพื่อนมากนัก ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
การได้มาเผชิญชีวิตหารายได้จุนเจือปากท้องตัวเองและครอบครัวของพวกเขาพวกหล่อน กลายมาเป็นคนสนิทสนมรู้จักมักคุ้นกันเหมือนเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศสักแห่งหนึ่ง
ไม่มีวิถีชีวิตหรูเลิศใดๆนอกจากเฝ้าภาวนาให้ได้ลูกค้าในแต่ละวัน ก่อนจะเก็บสินค้าใส่ถุงกระสอบหรือเป๋าผ้าใบใบเขื่องกลับไปบ้านแหล่งพำนักพักผ่อนเอาแรงเพื่อตื่นขึ้นมาทำมาหากินกับเช้าวันต่อไปอย่างไม่รู้วันสิ้นสุด
ชีวิตมันต้องดิ้นต้องเดินต่อไปตราบที่ลมหายใจยังเหลืออยู่
เมื่อเดินผ่านแผงสินค้าจิปาถะประจำ อดไม่ได้ที่ต้องสอดสายตาดูข้าวของเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้เสมอ เหมือนอยากเลือกซื้อไปใช้สอยบ้างสักอย่างหนึ่ง เพียงแต่ข้าพเจ้าต้องอดออมเพราะมีเงินจำกัดจำเขี่ย แต่ก็อดไม่ได้ทุกครั้งจะต้องเหลือบสายตาดูสินค้าจิปาถะที่วางบนผ้าปูทุกครั้ง
มันรู้สึกเหมือนได้เดินห้างสรรพสินค้าหรืออย่างไรกันหนอ มันเป็นความรู้สึกอย่างง่ายๆ ของผู้คนหาเช้ากินค่ำที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแม้จะชาชิน แต่ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเสมอเมื่อได้เห็นข้าวของหลากหลายระหว่างทางเดิน
ความสุขเล็กๆของคนในระดับล่างสุดของสังคมคงจะเป็นอย่างนี้กระมังถ้าให้สันนิษฐานหรือตีขลุมเอาเอง
เดินไปถึงศาลาป้ายรถโดยสารประจำทางที่มีคนยืนรออยู่หนาตาพอสมควร พลันพบเจอชายหนุ่มคุ้นหน้าอีกคน คงเป็นเพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้นั่งในบริเวณป้ายรถนั้น เขาจึงไปนั่งบนฟุตปาทริมถนน ก้มหน้าเขียนอะไรขยุกขยิกกับสมุดเล่มหนึ่ง ดูราวกับเคร่งเครียดกับงานเขียนอะไรสักอย่าง
ในมือคีบก้นบุหรี่ที่ใครบางคนทิ้งพื้นมาสูบอย่างไม่รู้สึกรังเกียจขยะแขยง เพราะตัวเขาก็คงไม่ต่างกับก้นบุหรี่สักมวนหนึ่งในสายตาของคนทั่วไปที่ปรายตามองและหลีกเลี่ยงไม่อยากอยู่ใกล้เขา เท้าที่ไร้รองเท้าแตะเปื้อนฝุ่นดำเขลอะอย่างนั้น แต่เขาก็มีท่าทีดูอ่อนน้อมเดินค้อมตัวผ่านผู้คนเสมอๆ ไม่มีท่าทางก้าวร้าวเกเรอะไรทั้งสิ้น
นี่คืออีกชีวิตหนึ่งในเส้นทางพลุกพล่านของเมืองใหญ่ ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายไม่ยินดียินร้ายโชคชะตา ไม่คร่ำครวญโหยหาสิ่งใดมาปลอดโยนหัวใจ
นอกจากพื้นที่สงบแคบๆสักที่ที่จะจดจารบางอย่างในหัวของเขาออกมาบนเศษกระดาษหรือสมุดสักเล่ม
23/11/2567