ใต้หลังคาทรงลูกฟูกโค้งมนของป้ายรถเมล์ริมถนนใหญ่
หญิงวัยมากกว่าหกสิบร่างท้วม เสื้อลายดอกสีน้ำตาล กางเกงสามส่วนสีน้ำเงินนั่งอยู่บนม้านั่งยาวห้าฟุต มีถุงพลาสติกใส่สิ่งของบางอย่างและร่มคันใหญ่สีเหลืองวางอยู่ข้างกาย มองมาทางข้าพเจ้าที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งรอรถเมล์เดินทางไปจุดหมายแห่งหนึ่ง
จู่ๆ นางได้เอ่ยทักข้าพเจ้าราวกับคนรู้จักกันมาก่อน นางหยิบพระผงและโลหะในตลับพลาสติกออกมาให้ดูพร้อมกับพูดว่า
“เอามั้ยลุง พระดีสวยๆ นี่หลวงพ่อเพิ่งให้มาตอนเช้านี้เองเลยล่ะ องค์ละร้อย เอาไว้บูชาซักองค์มั้ย”
แล้วก็หยิบพระพุทธรูปปางรำพึงออกมาอีกองค์หนึ่ง
” นี่พระประจำวันศุกร์ ได้ไปบูชาก็จะพบแต่ความสุขสงบ เอามั้ยองค์นี้ขอสองร้อยพอ”
ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้มตอบ
” ไม่มีเงินเลย มีแต่ค่ารถเมล์ ไม่เอาล่ะป้า”
นางไม่ละความพยายามอีก
” เอามั้ยขอแค่องค์ละสี่สิบก็ได้ พระผงกับพระเหรียญ เอาน่า นี่ก็ร่มคันใหญ่ หลวงพ่อให้มาเหมือนกัน ขายได้สักร้อยก็ยังดี”
ข้าพเจ้ายังคงยืนยันปฏิเสธด้วยเหตุผลเดิมที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้อย่างแน่นอน ท่ามกลางสายลมเย็นกับท้องฟ้าที่ไม่ค่อยปลอดโปร่งนัก
“ผมไม่มีจริงๆ ป้าไปแถวตลาดนัดใกล้ไปนี้ก็น่าจะได้นะ”
ข้าพเจ้าแนะนำไป พร้อม ถามว่าบ้านอยู่แถวไหนและกำลังจะเดินทางไปแห่งหนใด นางตอบเหมือนไม่ใส่ใจอะไรนัก
“ฉันไม่มีบ้านหรอก นี่ก็มาอาศัยข้าววัดกิน ว่าจะไปโน่น รังสิต”
แล้วก็พูดไปถึงเรื่องเศรษฐกิจฝืดเคืองหากินลำบากต้องระวังการใช้สอยเงินก่อนวกกลับมา
“พอจะมีค่ารถเมล์ซักยี่สิบบาทก็ได้”
ข้าพเจ้าสงวนท่าทีอย่างไม่จำเป็นเลย เพราะในตัวมีแบงก์ยี่สิบใบเดียว
“ผมก็มีแค่ยี่สิบจริงๆ”
นางคงไม่เชื่อนักแม้มันเป็นความสัตย์จริงที่สุดแล้ว
ระหว่างนั้นรถเมล์สายที่รอโดยสารแล่นผ่านหวือไปเมื่อไม่มีใครโบกเรียก ข้าพเจ้าได้แต่เสียดายโอกาส คงต้องรอต่อไปไม่ต่ำกว่าสิบนาทีหรืออาจต่อนชั่วโมงก็เป็นไปได้
ถัดมาไม่นานมีหญิงสาวอายุราวยี่สิบเศษในชุดพนักงานประจำร้านสะดวกซื้อคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งรอใต้หลังคาป้ายรถเมล์ หญิงวัยหกสิบกว่าเดินเกร่เข้าไปถามขายพระเครื่องกับพนักงานร้านสะดวกซื้อซึ่งกำลังง่วนอยู่กับโทรศัพท์มือถือ
หญิงสาวไม่เงยหน้าดูเพียงแต่โบกมือแสดงท่าทีไม่สนใจสิ่งที่ถูกนำเสนอ
นางหันเดินกลับไปยังม้านั่งเดิมปากพึมพำไม่ได้สรรพ คงรู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินได้เลย ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตหน้านางชัดเจนแต่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของนางในตอนนั้น
เวลาคล้อยผ่านไปหลายนาทีจนกระทั่งรถเมล์สายที่รอเข้ามาจอดหน้าป้าย รอจนคนลงจากรถแล้วข้าพเจ้าก้าวขึ้นรถเมล์ตามหญิงสูงวัย ที่คิดว่านางจะนั่งสายอื่น
พอขึ้นรถเมล์นางก้าวจ้ำไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังติดหน้าต่างด้านซ้าย ข้าพเจ้าได้ที่นั่งตอนหน้ารถ
ภาพที่เห็นสิ่งที่เจอระหว่างรอรถเมล์จางหายไปจากมโนในบัดดล คงเป็นการมาพบเจอกันครั้งเดียวในชีวิตระหว่างนางกับข้าพเจ้า
ไม่แปลกเลยที่ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงคนซึ่งเพิ่งคุยกันก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที
ข้าพเจ้ากลับนึกไปถึงคนจรหมอนหมิ่นห่างไกลจากถิ่นกำเนิดคนหนึ่ง ผู้นอนทอดร่างเหลือเพียงโครงกระดูกบนเสื่อผืนหมอนใบในตึกร้างของเมืองใหญ่ที่มีผู้คนหนาแน่นพลุกพล่านรถราแล่นขวักไขว่เป็นใยแมงมุมแทบทุกนาทีในยี่สิบชั่วโมง เมืองที่ไม่เคยหลับใหล
ข้าพเจ้าเพียงแค่นึกถึงข่าวสะเทือนความรู้สึกระคนแปลกในใจของสังคม กรณีพบศพชายวัยห้าสิบห้าปีในสภาพเหลือเพียงโครงกระดูกบนชั้นสี่ของตึกร้างแหางหนึ่ง
ปมที่มาของข่าวกลายเป็นจุดสนใจของสังคมมากกว่าปมการเสียชีวิตของชายคนหนึ่ง คงเป็นแค่คนไร้บ้านอดหรือป่วยตายธรรมดา
ผู้คนให้ความสำคัญไปที่ต้นทางของข่าวมาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวเท่านั้น มันหล่นหรือพลัดพรากจากเจ้าของมัน ไปอยู่ในมือของชายอีกคนที่ระบุว่าสภาพจิตไม่ปกติ
แล้วเรื่องราวของเจ้าโทรศัพท์มือถือที่พลัดจากมือเจ้าของชั่วข้ามวันก็ได้หวนกลับคืนสู่เจ้าของมัน แต่มันได้เก็บบันทึกภาพสี่ห้าภาพของศพเหลือเพียงเค้าโครงกระดูกและกะโหลกเส้นผมบางส่วน เบื้องต้นและต่อมาจนกระทั่งกลายมาเป็นข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
การพบศพได้อย่างคาดไม่ถึง แบบที่นักแต่งนวนิยายยังไร้จินตนาการสิ้นเชิง กลายเป็นจุดที่ผู้คนหลากหลายพุ่งความสนใจมากกว่าจะค้นหาเค้าเงื่อนปมไขนำพาชายนิรนามมาสุดปลายทางชีวิตเยี่ยงสภาพนี้อย่างไร
อะไรหนอทำให้ชายคนนี้ต้องดิ้นรนบากบั่นจากถิ่นกำเนิดเข้ามาใช้ชีวิตอย่างไรก็ความมั่นคงเสี่ยงภัยในดินแดนห่างไกลไร้คนรู้จักนานนับสิบปี
อะไรที่ทำให้ชายผู้นี้ต้องมาเผชิญชะตากรรมอันน่าสลดหดหู่อ้างว้างเดียวดายในดินแดนที่มีผู้คนสัญจรพลุกพล่านเฉียดฉิวผ่านไปมา รถราขวักไขว่ไขว้กันดั่งใยแมงมุมตลอดเวลานาที
คำถามก้องในหัวก่อนจางหายเมื่อรถเมล์ถึงที่หมาย
ข้าพเจ้าก้าวลงจากรถมองไปทางท้ายยังเห็นหญิงสูงวัยที่เพิ่งคุยกันไม่นาน นางนั่งเท้าแขนขอบหน้าต่างรถเมล์สายตาเหม่อมองเหมือนไร้จุดหมาย
จำได้ว่านางบอกว่าไม่มีบ้านที่จะกลับ รู้แต่ว่าจะไปรังสิต.
6/10/2568