คงเหมือนใครๆหลายคนในบริเวณนั้น
ตรงป้ายพักรอรถโดยสารประจำทาง ในมือถือโทรศัพท์เปิดหน้าจอง่วนดูส่งข้อความหรือรูปภาพอะไรประมาณนั้น เป็นการทำลายความเบื่อหน่ายหงุดหงิดใจจากการรอรถเมลฺ์
ข้าพเจ้าเตรียมเหรียญห้าบาทค่าโดยสารรถเมล์สอดไว้ในซองพลาสติกใส่บัตรประชาชน ถือซ้อนไว้หลังโทรศัพท์มือถือ เอาเวลาที่นั่งรอรถเมล์ดูโทรศัพท์ไปเรื่อยตามความเคยชินที่ทำจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว อาจเรียกได้ว่าเข้าขั้นเสพติดงอมแงมจนยากจะถอนตัวได้ เพราะบางคราวต้องทนรอรถเมล์สายประจำนานนับชั่วโมงเลยทีเดียว
เช่นเดียวกับคราวนี้ก็คงจะต้องรอรถเมล์ไม่ต่ำกว่าสามสิบนาทีเป็นแน่แท้ จึงไม่ตั้งใจจ้องมองรถเมล์อย่างใจจดใจจ่อจริงๆจังๆ
แต่ผิดคาดจู่ๆรถเมล์สายหนึ่งหนึ่งสี่ที่เฝ้ารอกลับโผล่โฉบเข้ามาจอดป้ายอย่างไม่ทันตั้งตัว
ด้วยความฉงนปนยินดี ทำเอาตาลีตาลานลุกลี้ลุกลนลุกจากม้านั่งเดินพรวดไปยืนจ่อรอขึ้นที่ประตูรถ จนเมื่อผู้โดยสารลงจากรถหมดแล้วรีบก้าวขึ้นรถทันที ในมือยังถือโทรศัพท์กับซองบัตรประชาชนที่มีเหรียญห้าบาทสอดไว้ในนั้น
พอเอื้อมมือจับราวโหนรถเมล์ เสียงดัง “แก๊ง”ของเหรียญกระทบกับพื้นบันไดเหล็ก ไม่ต้องสงสัยเลยมันคือเหรียญห้าบาทที่เตรียมไว้เป็นค่าโดยสารนั่นเองหลุดหล่นลงพื้นบันไดก้มมองหาไม่เห็น
ถึงเห็นก็เอาเถอะคงก้มลงไปเก็บยากลำบากเป็นแน่แท้ในจังหวะรถเมล์แล่นตะบึงอย่างนี้น ตัดใจทันทีช่างมันเถิด หาที่นั่งให้เรียบร้อยดีกว่ายืนเก้ๆกังๆ หวั่นหวาดจะถูกรถเมล์กระชากล้มคว่ำคะมำหงาย คงไม่น่าดูสักเท่าใดนักสำหรับคนอายุปูนนี้ มันคงน่าสมเพชเวทนาเหลือประมาณ
ข้าพเจ้าทำได้เพียงล้วงกระเป๋าควานหาเหรียญห้าบาทส่งให้พนักงานเก็บค่าโดยสารวัยกระชากใจสาวได้ไม่ยากเย็น ไม่ลืมบอกกระเป๋ารถเมล์หนุ่มถึงเหรียญห้าบาทเจ้ากรรมที่ทำร่วงนั้นด้วย
สักพักหนึ่งกระเป๋าหนุ่มหล่อที่เดินเก็บค่าโดยสารจากผู้โดยสารอื่นๆครบถ้วนแล้ว เดินย้อนกลับมาส่งเหรียญห้าบาทคืนให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้แต่ขอบคุณในน้ำใจของกระเป๋ารถเมล์ แล้วนั่งไถโทรศัพท์ดูไปเรื่อยๆ
ในระหว่างรถเมล์แล่นตะบึงไปใกล้เย็นย่ำลงไปทุกขณะ ความมือค่อยๆโรยตัวเหมือนม่านบังแสงกระนั้น
แสงไฟหน้ารถราต่างสว่างจ้าแทบทุกคันที่แล่นอยู่บนถนน ความรู้สึกของข้าพเจ้าก็ดูเหมือนอ่อนโรยร้า บังเกิดขึ้นเสมอยามพลบค่ำ ราวกับส่งสัญญาณสื่อถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยว หรือเหมือนฉากสุดท้ายของละคร ของเรื่องราวที่พานพบมาตลอดห้วงแห่งชีวิต
ความรู้สึกที่รับรู้สัมผัสในชั่วขณะช่างทรมานจิตใจเหลือล้น แต่หลีกเลี่ยงไม่พ้น ตราบเท่าที่กาลเวลายังคงเดินดุ่มไปข้างหน้าอย่างซื่อสัตย์มั่นคงแน่วแน่ ไม่มีอิดออดลังเลเหลวไหล มันเป็นความรู้สึกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตลอดไป คงได้แต่พยายามทำความคุ้นเคยและยอมรับมันให้ได้เท่านั้นเอง
ข้าพเจ้าลุกขึ้นคว้ายึดรางโหน แล้วกดออดส่งสัญญาณบอกคนขับรถเมล์จะลงป้ายถัดไปที่จะถึง จนกระทั่งรถเมล์เบนหัวเข้าเทียบจอดป้ายซึ่งใหญ่โตป้ายหนึ่ง มีเพียงข้าพเจ้าผู้เดียวที่ลงจากรถเมล์คันนั้น
ข้าพเจ้าร้องตะโกน “ขอบคุณครับ” บอกทั้งคนขับรถเมล์ที่นำพามาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ และบอกกระเป๋ารถเมล์หนุ่มผู้ค้นหาเหรียญห้าบาทมาคืนให้อย่างมีน้ำใจอันงดงาม
14/12/2567