กรมประมง..หนุนนโยบาย ก.เกษตรฯ เร่งรุกโครงการ “1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง” ดันดาวเด่น 13 กลุ่มสินค้าประมง ร่วมยกระดับการพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ ในปี 2568
กรมประมง…เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง
นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เร่งให้มีการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในระดับชุมชนท้องถิ่น ให้อยู่ดีกินดี ด้วยการสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาสนับสนุน ตามหลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”
พร้อมวางเป้าหมายในการส่งเสริมพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง ทั้งด้านพืช แมลงเศรษฐกิจ และบริการเชิงสร้างสรรค์/ ด้านปศุสัตว์/ และด้านประมง รวมจำนวน 500 ตำบล ดันรายได้สุทธิทางการเกษตรให้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในปี 2570 หนุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และขยายช่องทางการตลาด เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยถึงการผลักดันโครงการฯ ในด้านประมงว่า ได้ดำเนินงานภายใต้คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ของกรมประมง ซึ่งมีนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เป็นประธาน
โดยคัดเลือกพื้นที่และสินค้าเกษตรมูลค่าสูง จำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มสินค้าเกษตรมูลค่าสูงเพื่อส่งออก ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการรวมกลุ่มกันผลิตและจำหน่าย โดยมีผลผลิตออกสู่ตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
2. กลุ่มสินค้ามูลค่าสูง ที่มีการแปรรูปเป็นสินค้า มีตลาดภายในประเทศ และมีการจำหน่ายเป็นผลผลิตโดยตรงหรือแปรรูป
3. กลุ่มสินค้าเกษตรและบริการเชิงสร้างสรรค์ เป็นสินค้าที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และเสน่ห์ชุมชนซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถยกระดับการพัฒนาอาชีพและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน
การดำเนินงานในปีงบประมาณ 2567 มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ในด้านประมง 24 ตำบล 23 อำเภอ 19 จังหวัด รวม 24 กลุ่มเกษตรกร ใน 7 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ปลาสวยงาม กุ้งทะเลต้มสุก/แช่แข็ง กุ้งทะเลมีชีวิต กุ้งก้ามกราม ปลานิล ปลากะพง และปูม้า
ผลจากการประเมินโครงการฯ ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พบว่า ภาพรวมเกษตรกรมีรายได้สุทธิครัวเรือนเฉลี่ยหลังเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.98 ได้ต่อยอดสู่การขยายผลดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2568
มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ 64 ตำบล 61 อำเภอ 52 จังหวัด รวม 65 กลุ่มเกษตรกร ใน 13 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ปลาสวยงาม ปลาน้ำจืดมีชีวิต กุ้งทะเลมีชีวิต กุ้งก้ามกราม ปลากะพงขาว ปูทะเล กบนา หอยนางรม จระเข้ ปลานิล สินค้าแปรรูปจากสัตว์น้ำจืด สินค้าทะเลต้มสุก/แช่แข็ง และสินค้าแปรรูปจากสัตว์น้ำเค็ม
โดยวางเป้าหมายการยกระดับรายได้ของกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปีแรก มีรายได้สุทธิครัวเรือนเพิ่มขึ้น 1.15 เท่าของปีฐาน ปีที่ 2 มีรายได้สุทธิครัวเรือนเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า ปีที่ 3 เพิ่มขึ้น 2 เท่า และสามารถเพิ่มรายได้เป็น 3 เท่าภายใน 4 ปี ตามกรอบแนวทางของนโยบายที่วางไว้
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ ล่าสุด พบว่า มีหลายกลุ่มสินค้าประมงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแปรรูป การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ไปจนถึงการเชื่อมโยงสู่การตลาดได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม เช่น กลุ่มสินค้ากุ้งก้ามกราม
ปัจจุบันมี 6 กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ และได้มีการยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าจนสามารถเปิดช่องทางตลาดการส่งออกกุ้งก้ามกรามแบบมีชีวิตไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูง และสร้างมูลค่าได้จำนวนมาก
กลุ่มสินค้ากบนา มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 2 กลุ่ม โดยมีจุดเด่นในด้านการลดต้นทุน เนื่องจากใช้น้ำน้อย ระยะเวลาการเลี้ยงสั้น อีกทั้งสามารถบริโภคได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งลูกอ๊อด และเนื้อกบ อีกทั้งยังเป็นสินค้าส่งออกแบบแช่แข็งไปยังตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กรมประมงยังได้เร่งส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรอื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการฯ ในการจัดทำแผนธุรกิจจากความต้องการของเกษตรกรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยอาศัยกลไกการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ภายในชุมชนท้องถิ่น ในการบูรณาการทำงานร่วมกัน ทั้งเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อให้มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมส่งเสริมการพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ และนำเทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ประโยชน์ในการผลิตและแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสัตว์น้ำ เน้นส่งเสริมความเข้มแข็งในการรวมกลุ่ม
รวมถึงสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น จุลินทรีย์ ปม.1 นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมการเปิดช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ใหม่ ๆ รวมถึงการนำเข้าจำหน่ายภายในร้าน Fisherman Shop ของกรมประมงซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และขยายสู่การส่งออกในตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวทิ้งท้ายว่า เชื่อมั่นว่า โครงการ 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ภายใต้การดำเนินงานของกรมประมง จะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในปี 2570 ตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
พร้อมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป