Friday, November 22, 2024
More
    Homeแม่บ้านตำรวจครอบครัว ชนะสิทธิ์ บ้านนี้ ผู้หญิงเป็นใหญ่

    ครอบครัว ชนะสิทธิ์ บ้านนี้ ผู้หญิงเป็นใหญ่

     

    ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก ที่คนสองคนจะใช้ชีวิตคู่กันมายาวนานถึง 30 ปี ยิ่งชีวิตตำรวจ บางคนแทบไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะชีวิตราชการย้ายตลอด ยังประคับประคองกันไปได้ อย่าง คุณน้องเล็ก-ดวงสมร ชนะสิทธิ์ สาวฝั่งธน อดีตนักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คู่ชีวิต พ.ต.อ.สุเทพ ชนะสิทธ์ ผกก.สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ นายตำรวจคนดังมากพวกที่ชีวิตราชการโดนคำสั่งย้ายโน่น เด้งนี่อยู่ตลอด

    ทั้งคู่พบรักสมัยฝ่ายชายยังเป็นรองสารวัตรป้องกันปราบปราม สน.สำเหร่ ภายใต้การแนะนำของพี่สาวฝ่ายหญิง ทั้งๆที่ก่อนหน้า อดีตสาวมัณฑนศิลป์มองว่าตำรวจเป็นคนเจ้าชู้ แต่ สุเทพ ชนะสิทธิ์ ก็ชนะใจเธอได้ หลังพูดคุยทำความรู้จักกันเป็นปี เธอรู้สึกว่าชายคนนี้ พูดจาดี อยู่ด้วยกันแล้วอบอุ่น ก็เลยตกลงปลงใจแต่งงานหลังเรียนจบ

    ตลอดชีวิตแต่งงาน ทั้งคู่ผ่านหวานชื่น ผ่านขื่นขมกันร้อยแปดพันประการ จนลูกเต้าเติบโตใหญ่เป็นสาวถึง 3 คน คนโต โฟร์โมสต์-สุภัสสรา ชนะสิทธิ์จบ ป.ตรี คณะBusiness English ม.อัสสัมชัญจบ ป.โท ม.มหิดล อินเตอร์ คณะการตลาดคนกลาง โดนัท-สุชนิกา ชนะสิทธิ์ จบ ป.ตรี คณะบริหารธุรกิจ การจัดการครัว วิทยาลัยดุสิตธานี ส่วนคนเล็ก โยเกิร์ต-สุปิตา ชนะสิทธิ์ สาวน้อยวัย20กำลังเรียนอยู่ที่ คณะเศรษฐศาสตร์และการเงิน Curtin University ประเทศออสเตรเลีย

     

    ฝ่ายชายทำงาน ฝ่ายหญิงเลี้ยงลูก
    “ พี่เขาจะเรียกเราว่า น้องเล็ก แล้วก็เรียกอย่างนี้มาตลอด ตอนแต่งงานตอนนั้นอายุสัก 22 แล้วมีลูกคนแรกเร็ว พอมีลูก พี่เขาก็บอกให้เราดูแลลูกดีกว่า เพราะถ้า คนหนึ่งทำงาน อีกคนก็ทำงาน ลูกก็จะไม่มีใครดู แต่ตอนนั้นก็มีคุณยายช่วยเลี้ยง พอคนโต โฟรโมสต์ขึ้น ป.1 ถึงมี น้องโดนัท และน้องโยเกิร์ต แล้ววันที่คลอดคนเล็ก พี่ขับรถไป รพ.เองนะ เพราะคุณพ่อไปทำงานอีสาน ตอนนั้นอยู่กองปราบ แล้ว 5 ทุ่ม เจ็บท้อง ก็ขับรถไปเองเลย คือ เหมือนดูแลเองหมดเลย 3 คน เป็นผู้หญิงทั้งหมด คนกลาง กับคนโต ห่างกัน 7 ปี คนกลางห่างกับคนเล็ก 4 ปี พอเด็กๆ เข้าเรียน ก็ไปเปิดร้านอาหาร เช้าต้องไปส่งลูก เลิกเรียนต้องรับลูกไปเรียนพิเศษ 7 วัน ไม่มีวันหยุด ดีอยู่อย่างตรงที่ว่า มีเวลาดูแลเขา ลูกๆทุกคนก็เลยใกล้ชิดแม่ ประสบผลสำเร็จดี ไม่เกเร สมมติอยู่บ้าน เราไปรับไปส่ง เขาก็จะไม่ไปไหน เพื่อนบ้านไม่ค่อยมี ไปไหนเองก็ไม่ไป ต้องแม่ไปส่ง….”ภรรยานายตำรวจคนดังย้อนอดีต

    เสาร์-อาทิตย์ขับรถพาลูกไปหา
    จนพี่เขาถูกย้ายออกจากกองปราบ ทีนี้หนักเลย ดีที่ลูกๆ ก็เริ่มโตๆ ช่วงย้ายตอนนั้นมันมีเรื่อง ก็ไปนครชัยศรี ได้สักเดือน ก็มีคำสั่ง ไปอยู่เพชรบุรี เป็น รอง ผกก. แล้วก็ไปสระบุรี สิงห์บุรี อยุธยา ที่ผักไห่ พี่เขาย้ายบ่อย ส่วนเราก็ต้องดูแลลูก ไม่ค่อยได้ตามไปอยู่ด้วย แต่ถ้ามีเวลา เสาร์-อาทิตย์ ลูกไม่ได้เรียนพิเศษ ก็จะไปช่วงนั้น เพราะลูกๆยังเด็กๆ เราก็ต้องรับส่ง แต่ดีที่เรียนที่ประสานมิตรด้วยกันหมด ก็คิดว่าไม่เป็นไร เราก็ดูแลไป ปล่อยให้พี่เขาไปทำงาน อีกอย่าง เราตกลงกันแล้ว เขาทำงาน เราดูแลลูก ก็ช่วยเขา ก็โทรศัพท์หากัน ยังไม่มีเฟซ ไม่มีวีดีโอคอล เสาร์-อาทิตย์ ก็ขับรถพาลูกไปหา บางทีเลิกเรียนเสร็จ 5 โมงเย็นวันศุกร์ ก็ขึ้นทางด่วนออกไปเลย

    ทำหน้าที่พ่อ-แม่ดูแลลูก3ใบเถา
    ก็คิดเหมือนกันทำไม แต่พี่เขาเป็นคนที่ไม่ทิ้งงาน เขาทิ้งลูกได้(หัวเราะ) เราก็เลยกลายเป็นทั้งพ่อ ทั้งแม่เลย ก็สนุกดี เวลาเขาเครียดเรื่องอะไร ก็เป็นกำลังใจให้เขา ช่วง รอง ผกก.ก็ลำบาก เดินทางบ่อย แต่ก็ไม่เท่าไหร่ จริงๆ มันก็ขับรถไป จากกรุงเทพฯ ก็ 2 ชั่วโมงกว่า อย่างนี้ ยังดี ยังอยู่ไม่ไกล เวลาไปหา ก็ไปดูที่หลับที่นอนให้ พี่เขาโดนย้ายบ่อย เบื่อเหมือนกัน แต่ก็ต้องทน ในฐานะเป็นเมียตำรวจ เพราะตำรวจก็เป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ได้อยู่กับที่ คือเวลามีแต่งตั้งโยกย้ายทีไร สวดมนต์ภาวนาน่าดูเลย คือไม่อยากให้พี่โดนย้ายไปไหนไกลๆ คือย้ายได้ แต่อย่าไปไกล

    เด้งไปกมลาไสย แรกๆก็เครียด

    จริงๆ เป็นคนที่ไม่ซีเรียสกับชีวิตมาก แต่มาเจอหนักอีกก็ตอนถูกย้ายไปกมลาไสย แย่เลย แรกๆ ก็เครียดนิดหน่อย แต่ก็ดี ได้เห็นความลำบากของตำรวจที่นั่น เราก็ไปช่วยเขา ช่วยซ่อมที่พักอาศัย ครัวโรงพัก ให้ทานอาหารกลางวันร่วมกัน แบ่งเบาภาระ ลูกน้องก็รัก ก็แฮปปี้ เพราะมี ผกก.มาช่วย ตำรวจภูธร กับตำรวจส่วนกลาง ความเป็นอยู่มันต่างกัน ไลฟ์สไตล์ต่างกัน วันๆ เขาไม่ใช้เงินยังได้ เราไปอยู่ เราก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินเลยนะ มันก็ประหยัดดี มีเงิน 2 พัน นี่กินได้ทั้งอาทิตย์เลย ไม่เหมือนอยู่ในกรุงเทพฯ เลย บางทีเราก็จะทำอาหารกิน ทำกินกันเองกับลูกน้อง มาจากบ้านโน้นบ้านนี้บ้าง ก็มันไปอีกรูปแบบหนึ่ง

    ชีวิตคู่ได้ใช้ร่วมกันอีกครั้ง
    รู้สึกว่าจากที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ตอนนี้ ก็เดินทางไปๆกลับๆกับพี่เขา ก็เป็นห่วง ไปคนเดียว ไกล แล้วก็เหงา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแสงสี อาหารการกินยังไม่ค่อยมีเลย ก็สองคนคุยกัน กินข้าวข้างทางเสร็จ 6 โมง ทุ่มหนึ่ง เข้าบ้าน นอนดูทีวีกันแล้ว อยู่กันสองคน ถามว่าดีมั้ย มันก็อีกอย่างหนึ่ง ได้ไปคลุกคลีกับลูกน้องพี่เขา เราเป็นยังไง เขาอยู่กันยังไง จากเลี้ยงดูลูก ก็ไปดูลูกน้อง แต่ไม่ค่อยมีโครงการอะไร เพราะที่นั่น อยู่กันแบบชาวบ้านๆ เราก็ไม่เคยอยู่แบบนั้น พอไปสัมผัส ก็เหมือนมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง สนุกดีเหมือนกัน

    ฝ่าสารพันปัญหาแทบร้องไห้

    ถ้าถามถึงหลักการครองชีวิตคู่ ก็ไม่ค่อยคิดอะไรมาก เพราะพี่เขาเป็นคนดี เราก็อยู่ดูแลลูกไป เขาก็ทำงานไป ไม่ก้าวก่ายเขา แต่ช่วงที่พอมีปัญหาการงาน อย่างพี่เขาโดนย้าย ก็คอยเป็นกำลังใจให้เขา แต่จริงๆคือเราก็แทบร้องไห้เลยนะ เราโดนข้างนอกเขาว่าอะไร เรามีความรู้สึก มันไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเรารู้พี่เขาเป็นคนยังไง เขาทุ่มเทกับงานมากกว่าคนในครอบครัวอีกนะ และเราก็สร้างฐานะของเรา ตั้งแต่จากต้องเรียกว่าจากศูนย์เลยนะ ก็ค่อยๆ สร้างมาจนมีทุกวันนี้ นอกจากเป็นแม่บ้าน ก็ทำธุรกิจเปิดร้านอาหารบ้าง แล้วก็ยังมีขายรถมือสอง อะไรบ้าง ทำทุกอย่าง เพราะมันเป็นอิสระ เราไม่ต้องไปฟิก ตัวเอง เราก็มีเวลา ดูแลลูกๆ

    ลูกๆรับรู้ ให้กำลังใจเดี๋ยวก็ผ่านไปได้
    ลูกๆ ก็รู้ พ่อมีปัญหาในเรื่องงาน บอกลูกหมดทุกอย่าง ลูกจะรู้หมด ไม่เคยปิดลูก บอกพ่อลำบากยังไง ลูกก็จะต้องรู้ ก็ไม่เคยถามว่าเรื่องของพ่อจะเสร็จเมื่อไหร่ แต่เรารู้กันด้วยใจ ลำบากยังไง เราก็โอเค.กว่าจะผ่านมา ก็ต้องไปด้วยกัน ตอนนั้นที่มีปัญหาเยอะๆ ก็แนะนำพี่เขาว่าไม่เป็นไร ไม่เคยให้ลาออก แล้วแต่ชะตาชีวิต ไม่ต้องไปคิดมาก และจริงๆ ที่บ้าน ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยคิดมากอยู่แล้ว คือแรกๆ เราอาจจะยังต้องทำใจ เวลาเราเจอปัญหาอะไรใหม่ๆ เราก็คิดแหละ แต่ว่าเดี๋ยวสักพัก ผ่านไป เราปรับตัวได้ ก็เออ ช่างมัน เรื่องที่เป็นกอสซิฟ มีการเปิดชื่อ เราโดนที่นครชัยศรี มีนักข่าวตามไปสัมภาษณ์ แต่ก็เป็นเรื่องที่เราก็คุยกัน จริงๆ เราก็คุยกันตลอด มันเป็นเรื่องที่สังคมข้างนอก ไม่ได้รู้เรื่องของเราจริงๆ เราก็อย่าไปรื้อฟื้น อย่าไปสนใจมัน

    เตือนให้คิด ใครอยู่ด้วยตอนลำบาก
    อยู่ไกลๆ กัน ก็ไม่ค่อยทะเลาะกันนะ เพราะจริงๆ เป็นคนที่ให้เกียรติพี่เขามากนะ ไม่ค่อยมีทะเลาะกัน สามี ภรรยา แต่ถ้ามี ก็เป็นคนไม่ยอม ถ้าไปจับผิดเจอ พี่เขาจะรู้นิสัย แต่ว่าเราจะให้เกียรติ คิดว่าไม่มีอะไร คุณไปทำงาน ก็ไปทำงาน แต่พี่เขาก็จะดีว่า เขาจะเป็นห่วงครอบครัวมาก จะดูแลทุกเรื่อง เขากลัวครอบครัวคิดมากเกี่ยวกับเรื่องงาน บางทีเราเห็นชีวิตคู่ตำรวจที่ว่า สามีอยู่ทาง ภรรยาอยู่ทาง ก็เจอเยอะ แอบไปกุ๊กกิ๊ก ก็มี เราก็พูดบอกตลอดว่า คนเราเวลาบินสูงแล้ว มันก็ร่วงลงมาได้ จะคอยเตือนเขา อย่างน้อยจะทำอะไร ก็ขอให้หันกลับมามองครอบครัว เพราะเวลาคุณลำบาก มันก็มีแต่ครอบครัว และภรรยา คนนี้แหละที่ดูแล เวลาคุณจะสุขสบาย คุณก็ต้องหันกลับมามองครอบครัว

    ทะเลาะก็มี แต่ไม่แรงพร้อมกัน
    หลักการครองคู่ ก็คงประมาณนี้ เพราะเราก็อยู่กินกันมานาน 30 ปี ได้แล้ว ก็จะมีอย่างนี้ ถ้าคนหนึ่งโกรธ โมโหแรง ก็จะมีอีกคนหนึ่ง เงียบ เดินหนีไปเลย สมมติว่า ถ้าเขาแรง เราก็จะเออ เขาเริ่มแรงแล้ว เราไปดีกว่า ไม่มีแรงพร้อมกัน ถ้าเราแรง เขาก็จะเงียบ จะนิ่ง ถามว่ามีทะเลาะกันมั้ย มันก็มีแหละ ครอบครัว ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทะเลาะกัน สามี ภรรยา แต่ว่าทะเลาะกันแป็บ เดี๋ยวก็ต้องมาคุยกัน ถ้าเราผิด ก็จะมาขอโทษเขา มาบอก ขอโทษนะ แต่ถ้าตัวเขาผิด เขาไม่ค่อยมาขอโทษเรานะ ก็อย่างนี้ มันก็เลยอยู่ด้วยกันได้

    งานแม่บ้านตร.เริ่มสมัยอยู่เพชรบุรี

    ส่วนงานแม่บ้าน มาเริ่มช่วงที่พี่เขาอยู่เพชรบุรี ตอนนั้นพี่คเชนทร์(พล.ต.ต.คเชนทร์ คชพลายุกต์)เป็นผู้การเพชรบุรี คุณนายแกก็ชวนไป แต่ถ้าเป็นช่วงที่พี่เขาอยู่สายปราบปราม นักสืบ ก็จะไม่ค่อยได้ทำ เพราะนักสืบนี่ แม่บ้านไม่ต้องออกตัวเท่าไหร่ ตอนเป็น ผกก.ผักไห่ ปีนั้นน้ำท่วม พี่เขาไปอยู่พอดี เราก็ได้แค่ไปช่วยแจกอาหาร ช่วงน้ำท่วม ท่วมหนักมาก แล้วก็มาทำงานแม่บ้านเยอะๆ ก็ช่วงอยู่ที่อยุธยา ได้ช่วยงานแม่บ้านเยอะหน่อย กับคุณนายผู้การ พี่กรเอก เพชรไชยเวส เพราะคุณนายแกชอบให้ไปช่วย ก็มีกิจกรรมเยอะ ช่วงนั้น ดูแลครอบครัวลูกน้องด้วย

    เห็นชีวิตตำรวจภูธรลำบาก
    ถ้าเป็นที่กมลาไสย ก็จะดูแล เพราะนอนบ้านพักตำรวจที่โรงพัก โรงพักไม่ได้กว้าง ก็เห็นครอบครัวตำรวจ จากที่ไม่เคยได้อยู่ ก็เห็นความเป็นอยู่ของเขา ก็ลำบากนะ แม้แต่บ้านพักเขา ก็ไม่มีใครดูแลปรับปรุง บ้านพักลูกน้อง เราเห็นแล้ว เราต้องไปช่วยทำ ช่วยซ่อม หางบประมาณไปช่วย ลูกน้องก็ชอบ มีอะไรก็มาทำกิจกรรม แต่มันก็ไม่ได้มีงานเยอะอะไร เพราะที่โรงพักกมลาไสย ส่วนใหญ่เมียตำรวจ ก็มีค้าขาย ทำอาหาร ทำร้านเล็กๆ น้อยๆ มากกว่า มีนา มีไร่ แบบตำรวจท้องถิ่นทั้งนั้น ที่อยู่ในโรงพัก มีครัวโรงพักทำกินกันเองบ้าง เวลามีงาน ของจังหวัด ชวนแม่บ้าน ไปทำอะไร เราก็เรียกไปกัน

    ปะป๊าเหมือนฮีโร่ 3 สาว
    ส่วนโฟร์โมสต์ พูดถึงพ่อในฐานะลูกสาวคนโตแทนน้องๆโดนัทและโยเกิร์ตว่า “ ถ้าจะให้พูดถึงป๊าของเรา ปะป๊า ก็เหมือนแบบเป็นฮีโร่ ของเราทั้ง 3 คน ตั้งแต่เด็ก เป็นคนเก่ง ถึงแกจะไม่มีเวลาให้เรามาก แต่พวกเราก็ ค่อนข้างเข้าใจ ก็ด้วยหน้าที่การงานความเป็นตำรวจ ไม่เคยรู้สึกว่า พวกเราขาดความอบอุ่น หรืออะไร นะคะ เวลาที่เขาไปทำงานต่างจังหวัด หรืออะไรอย่างนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เพราะว่าก็มีแม่ ที่เลี้ยงมา เหมือนที่แม่บอก ว่าแม่เหมือนเป็นทั้งคุณพ่อด้วย คุณแม่ด้วย เลี้ยงเรา ทำอะไรทุกอย่างเองให้เรา หมด แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าเราขาดความอบอุ่นอะไร เพราะเมื่อไหร่ที่แบบมีเวลา เราก็จะไปหาป๊า ด้วยกันหมดเลย ยกขบวนกันไป ค่อนข้างจะมีความเป็นครอบครัวกันตลอดเวลา ไม่เคยทิ้ง

    ป๊ากับแม่สอนให้รักกัน
    คุณแม่ก็เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างถือว่า เก่ง แต่เขาก็ดุ นะ ดุในสไตล์ของเขา คือเขาจะดุเราแบบ มีเหตุผล แต่ก็จะมีแบบว่าดุมากๆ เหมือน ไม่อยากให้เราดื้อ หรืออะไรอย่าง แต่ป๊า จะไม่ดูแบบแม่ ป๊า เขาจะเหมือนแบบ เออ มีเหตุผล มาซัพพอร์ต แต่เมื่อไหร่ ถ้าพ่อดุ แล้วก็ โอ้โห แบบ เงียบกันไปเลย แต่ เขาจะไม่ค่อยมาดุ ไม่ตี ตั้งแต่เกิดมา จำได้ว่า ถูกป๊า ตีไปแค่รอบเดียว ทั้งชีวิต โดนตีไป 1 ครั้ง ส่วนโดนัท ก็โดนตีไป 1 ครั้งเหมือนกัน ทั้งชีวิต ส่วนโยเกิร์ต นี่ ไม่น่าเคยโดน เพราะคนเล็ก เนิร์ส แต่ถ้ากับแม่นี่ ก็จะโดนบ่อย ตั้งแต่เด็กยันโต เพราะเป็นพี่คนโต ต้องคอยดูน้อง แล้วป๊า กับแม่ ก็เหมือนแบบว่า สอนให้เรารักกัน ดูแลน้อง ทำอะไรได้ก็คือ เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบกัน อะไรอย่างนี้ เจอกันตลอด นี่ขนาดหนูแต่งงาน ย้ายครอบครัวแล้ว หนูก็ยังมาหาน้อง ก็จะมา คือเมื่อไหร่ที่เวลาว่าง ก็จะไปเที่ยวด้วยกัน

    ครอบครัวชนะสิทธิ์

    ขวัญดาว 16/10/60

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments