ชีวิตครอบครัวของสุภาพบุรุษนักบู๊ พล.ต.อ.จักรทิพย์ – ดร.บุษบา ชัยจินดา
รู้จักหลังบ้านคนเก่งของ ผบ. ตร. พร้อมเรื่องราวชีวิตรักและบทบาทในครอบครัว
ชีวิตของภรรยานายตำรวจระดับสูงไม่ใช่นั้นเรื่องง่ายเลยสำหรับผู้หญิงที่ต้องทำงานไปด้วย ดูแลครอบครัวไปด้วย แต่คุณจุ๋มก็ไม่หวั่นและยังคงรักษาหน้าที่ ‘หลังบ้าน’ ได้อย่างไร้ที่ติ
“ดิฉันไปเรียนปริญญาโททางรัฐประศาสนศาสตร์(Public Affair) ที่ Kentucky State University ซึ่งท่านผบ.เรียนอยู่แล้ว เป็นรุ่นพี่เทอมนึง ท่านก็มาจีบ จะเรียกว่าจีบรึเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะไม่ได้เข้ามาแบบจ๊ะจ๋านะคะ เขาจะพูดจากระโชกโฮกฮากตอนนั้นไม่ชอบหน้าเขามากๆ แต่เขาก็มาขอกินข้าวบ้านบ้าง เจอกันที่มหาวิทยาลัยบ้าง ให้เราช่วยทำการบ้านให้บ้าง เราก็ช่วยไม่มากหรอกเพราะเขามีฝรั่งช่วย ท่านผบ.เอาตัวรอดเก่ง มีสาวฝรั่งคอยช่วยเยอะแยะ” ประโยคหลังคุณจุ๋มกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ท่านผบ.ตร.เรียนจบกลับเมืองไทยก่อนคุณจุ๋ม แม้จะไม่ได้มีสัญญาอะไรกันแต่ก็รู้กันว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน “เราเองไม่เคยมีแฟน ไม่ใช่ไม่มีคนมาจีบแต่เพราะเราไม่ชอบและก็ตั้งใจว่าถ้ามีแฟน คนนั้นก็คือคนที่เราจะแต่งงานด้วย ท่านอชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรองผบ.ตร.ซึ่งท่านผบ.เคยเป็นนายเวร ท่านเล่าให้ฟังว่า แป๊ะเอาของฝากไปให้คุณแม่ที่บ้านถึงรู้ว่าครอบครัวของดิฉันเป็นเจ้าของโรงเรียน ส่วนเราเองก็ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนมียศมีตำแหน่งอะไรเพราะเราไม่เคยรู้จักทหาร ตำรวจ ออกจะไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ รู้จักตำรวจอย่างเดียวคือตำรวจตระเวนชายแดนเพราะเคยดูหนังสมัยเด็กๆ จำได้ว่าสรพงษ์ ชาตรีแสดง แต่ไม่เคยรู้เรื่องยศตำแหน่งอะไร ให้เรียกก็เรียกไม่ถูกอีกอย่างตอนอยู่อเมริกาก็เป็นนักเรียนเหมือนกันเท่าเทียมกัน อะไรที่ดูเป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่าง มียศศักดิ์ อะไรแบบนี้เราไม่ชอบ คิดแค่ว่าที่เขาไม่มาจ๊ะจ๋าก็น่าจะจริงใจกับเราอีกอย่างเขาเป็นคนที่มีน้ำใจ หลังจากดิฉันเรียนจบกลับเมืองไทยทำงานอยู่สักปีนึงก็แต่งงานค่ะ”
ต้องบอกว่าหลังบ้านท่านนี้เป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับบิ๊กแป๊ะเป็นที่สุด เพราะในวัยเด็กแม้จะโตมาอย่างมีฐานะแต่ก็เป็นผู้หญิงทำงานเก่งที่หลายคนต้องยอมยกนิ้วให้
“คุณพ่อ(ดร.สุข พุคยาภรณ์)เรียนไม่สูงค่ะแต่เป็นคนมีวิสัยทัศน์และคิดเลขเก่งมาก เครื่องคิดเลขคิดไม่ทันความคิดท่านเลย สามารถคูณเลขหลักล้านได้ง่ายๆท่านก็เริ่มต้นจากการพายเรือขายของสมัยสงครามแล้วมารับเหมาก่อสร้าง กระทั่งทำโรงเรียนช่างกลไทยสุริยะและมหาวิทยาลัยศรีปทุมในเวลาต่อมา
“พอพี่สาว (ดร.รัชนีพร พุคยาภรณ์) เรียนจบทางบริหารการศึกษาจากอเมริกาคุณพ่อก็ให้พี่สาวดูแล ส่วนดิฉันพ่อตั้งวิทยาเขตที่ชลบุรีและให้ดิฉันไปดูแล ดิฉันกับพี่สาวน้องสาวเรียนประจำที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ แต่พอป.5 ก็มาเรียนแบบไปเช้าเย็นกลับ ดิฉันกับพี่สาวทำงานตั้งแต่อายุสิบเอ็ดสิบสอง เวลาปิดเทอมคุณแม่ (ดร.มาลินี พุคยาภรณ์) จะให้ไปช่วยรับสมัครนักเรียน ให้ไปเสิร์ฟน้ำต้อนรับผู้ปกครอง ให้เขียนบิลค่าเทอมเวลาที่ผู้ปกครองมาชำระค่าเทอม ไม่เคยได้ไปเที่ยวสยามสแควร์เป็นยังไงไม่เคยไป ดิฉันรู้จักแต่เรียนทำงานและเล่นกีฬา (คุณจุ๋มเป็นนักบาสเก็ตบอลของโรงเรียนและมหาวิทยาลัย) ดิฉันเอ็นทรานส์ติดอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและก็เรียนอยู่นครปฐมจนจบสี่ปี
“พอสำเร็จปริญญาโทกลับมาคุณพ่อก็ให้ไปดูแลมหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี สมัยก่อนชลบุรีไกลมาก ขับรถสองชั่วโมงกว่าไปเช้าเย็นกลับทุกวัน ดิฉันชอบขับไปทางแปดริ้ว เพราะไม่คอยมีรถแต่ถนนแคบและเปลี่ยว กลับก็ดึกทุ่มหนึ่งไม่มีไฟถนน มานึกย้อนกลับไปถ้ารถเสียกลางทางเราคงถูกฆ่าข่มขืนตายไปแล้ว หลังจากทำแบบนี้ได้สองปีก็ขอคนรถจากคุณพ่อเพราะขับเองไม่ไหวชอบหลับในด้วย”
ทุกวันนี้ชีวิตคู่ของทั้งสองท่านดำเนินไปอย่างราบเรียบอาจมีคลื่นลมบ้าง แต่โดยรวมแล้วนิ่งสงบ มือปราบอย่างบิ๊กแป๊ะที่มีภาระความรับผิดชอบในงานมากมายจึงต้องให้คุณจุ๋มคู่ชีวิตเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองคุณฮัท- ร.ต.อ.ชานันท์ ชัยจินดา และคุณแฮน-ชัยธัช ชัยจินดา พร้อมกับดูแลบ้านไปด้วย
“บ้านนี้ไม่ค่อยได้ทานข้าวที่บ้านพร้อมหน้ากันเพราะท่านผบ.ตร.เป็นตำรวจนักสืบไม่ได้ทำงานแบบ 8 โมงเช้ากลับบ้าน 5 โมงเย็น ก็เลยไม่มีเวลาแน่นอน ต่างคนต่างทานข้าว มีวันอาทิตย์วันเดียวที่จะได้ทานข้าวด้วยกัน ผบ.ไม่ค่อยคุยเรื่องงานเพราะท่านบอกว่าความลับของตำรวจที่มีโอกาสรั่วมากที่สุดก็คือรั่วจากเมียเพราะฉะนั้นเรื่องคดีต่างๆเขาจะไม่บอก เขาเก็บความลับได้ดีมาก วันที่พม่าแหกคุกเขาก็เป็นคนขับรถเข้าไปแลกกับโจร โดยที่ดิฉันมาทราบข่าวพร้อมคนอื่นเมื่อเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เช้าวันรุ่งขึ้น”
แล้วท่านเล่าให้ฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้น “ก็มีเล่าบ้างค่ะแต่ไม่หมด บอกว่าไม่อยากให้เราเป็นห่วง ท่านเป็นคนบู๊และทำงานถึงลูกถึงคน ตอนเป็นผู้กำกับก็ทำงานเหมือนเป็นสารวัตร ตอนเป็นผู้การก็ทำงานเหมือนเป็นผู้กำกับ คือลงรายละเอียด พอเป็นผบ.ตร.เวลามีเหตุใหญ่ๆ ท่านก็ไปคุมเอง เพราะท่านบอกว่าตำรวจรุ่นใหม่ไม่มีประสบการณ์ท่านจึงไปด้วยตัวเองเพื่อจะได้สอนวิธีคิดวิธีสืบสวนให้กับตำรวจรุ่นน้อง”
ขณะนี้เองที่ท่านผบ.ตร.เดินมาสมทบ เราจึงยิงคำถามใส่ท่านทันทีเกี่ยวกับแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเป็นตำรวจ ท่านยิ้มและตอบอย่างเป็นกันเองว่า “ศิษย์เก่าวชิราวุธโดยมากจบมาเป็นคนในเครื่องแบบก็มาก แต่ความจริงผมอยากเป็นทหารมากกว่านะ เคยสอบเตรียมทหารตอนม.6 แต่สอบได้แค่วิชาเดียว เพื่อนชวนโดดก็ไปตามเพื่อน ผมเอ็นทรานซ์ติดครุศาสตร์ จุฬาฯด้วยนะ ซึ่งคะแนนต่ำสุด ด้วยความที่ผมเป็นนักรักบี้ ผมอยากไปเรียนจุฬาฯเพราะอยากไปเล่นรักบี้ประเพณีอย่างเดียวแต่เผอิญสอบได้ตำรวจก่อน ผมเลยเลือกเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจแล้วก็ไปต่อปริญญาโทที่เคนตัคกี้ ผมไปเรียนที่นั่นเพราะพี่ๆเขาเรียนอยู่แล้วเขาช่วยตามใบสมัครให้ก็เลยตอบเร็วกว่าที่อื่นทำให้ผมตัดสินใจเรียนก็เลยได้เจอคุณจุ๋มที่นั่น” จบประโยคหลังท่านผบ.ตร.ก็หันไปสบตาซึ้งกับศรีภรรยาและจนบัดนี้ท่านยังย้ำอย่างหนักแน่นอีกว่า “เราเลือกคู่ถูกคนแล้ว”
บิ๊กแป๊ะบอกกับเราว่าสไตล์การทำงานแบบถึงลูกถึงคนของท่านนั้นอาศัยความมีใจสู้ การทำงานอะไรต้องมีปัญหาหรืออุปสรรครอท่าอยู่แล้ว แต่ท่านคิดว่า “ปัญหามีไว้แก้ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ปัญหาทุกปัญหามีทางออก ไม่ใช่ทางออกทุกทางมีปัญหา ปัญหาก็เหมือนโจทย์ ไม่ว่าโจทย์ง่ายหรือโจทย์ยากก็พยายามตอบ ตอบผิดตอบถูกคือประสบการณ์ แก้ไปถูกบ้างผิดบ้าง ถูกก็ดี ผิดก็ถูกเหมือนกัน…ถูกตำหนิ ผมคิดแค่นั้น เมื่อไรที่แก้ปัญหาได้เราภูมิใจ นั่นคือสิ่งที่ผมทำตลอดเวลาที่รับราชการ ทำให้ผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ เมื่อไว้วางใจท่านก็จะมอบงานสำคัญๆให้ และนั่นคือผลงานของเรา หลักคิดมีแค่นี้เอง”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ในนิตยสารเฮลโลฉบับวันที่ 2 มีนาคม 2560 วางแผงแล้ววันนี้ https://shop.burdathailand.com/
(ขอบพระคุณ :: ข้อมูล ภาพ นิตยสาร Hello)