เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 19 มี.ค.67 กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีนายปัญญา คงแสนคำ หรือลุงเปี๊ยก ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว บังคับให้รับสารภาพ ในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.บัวผัน ตันสุ หรือป้าบัวผัน หรือป้ากบ ว่า
จากที่ได้ตรวจสอบสำนวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ซึ่งได้มีการสอบปากคำลุงเปี๊ยกในคืนวันเกิดเหตุ รวมถึงดีเอสไอได้มีการหารือความคืบหน้าของคดีร่วมกับพนักงานอัยการจากการลงพื้นที่รวบรวมพยานหลักฐาน พยานเอกสาร อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังได้เข้าสอบปากคำลุงเปี๊ยกที่สถานพยาบาลด้วยตัวเองภายใต้การอนุญาตของแพทย์ผู้ตรวจรักษา จึงได้รายละเอียดข้อมูลสำคัญที่จะนำไปประกอบการทำสำนวนคดี
ล่าสุดมีมติร่วมกันในที่ประชุมออกหมายเรียกพยานแก่ 2 นายตำรวจ สภ.อรัญประเทศ เข้าให้ปากคำในวันพุธที่ 20 มี.ค. แบ่งเป็น รอบเวลา 10.00 น. 1 ราย และรอบเวลา 13.00 น. อีก 1 ราย โดยจะสอบปากคำที่ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ชั้น 8 ห้องพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ส่วนเรื่องรายละเอียดว่าทั้งคู่มีชื่อ นามสกุลใด ตำแหน่งอะไรนั้น ขอละเว้นการเปิดเผยไว้ก่อน แต่ยืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับลุงเปี๊ยกในคืนวันเกิดเหตุแน่นอน มีบทบาทตั้งแต่การควบคุมตัวไปจนถึงขั้นตอนการสอบปากคำ
สำหรับประเด็นที่จะใช้สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย คือ ในวันเกิดเหตุได้มีหลักการปฏิบัติในการควบคุมตัวผู้ต้องหาอย่างไร และในกระบวนการสอบปากคำในคืนวันเกิดเหตุเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากทั้งคู่ให้การเป็นประโยชน์ หรือให้การพาดพิงไปถึงบุคคลใดเพิ่มเติม คณะพนักงานสอบสวนก็จะต้องเชิญบุคคลดังกล่าวมาให้ถ้อยคำในฐานะพยานเพื่อประกอบเข้าในสำนวนเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอจะใช้ถ้อยคำให้การของทั้ง 2 ตำรวจ พิจารณาประกอบกับสำนวนการสอบสวนเดิมของ สภ.อรัญประเทศ ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ หรือขัดแย้งกันอย่างไร เพื่อที่จะใช้ขยายผลต่อไปว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ กี่รายและเป็นใครบ้าง ที่จะเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
ทั้งนี้ การสอบปากคำในฐานะพยานครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ชี้แจงตัวเอง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนทำตามขั้นตอนเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกคน และเพื่อให้การทำสำนวนนี้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงที่รอบด้านและถูกต้อง
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวยังได้รับรายงานเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า สำหรับนายตำรวจทั้งสองรายนี้ที่จะเข้าให้ถ้อยคำในฐานะพยาน ไม่ใช่บุคคลที่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน แต่เป็นคนที่รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
สิ่งสำคัญ คือ ทั้ง 2 นาย ต้องให้การที่เป็นประโยชน์ และต้องพูดความจริงว่าในวันเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรายใดทำหน้าที่อะไรบ้าง โดยเฉพาะประเด็นการทรมานและการบังคับลุงเปี๊ยกให้รับสารภาพ และทั้ง 2 นาย มีส่วนรู้เห็นมากน้อยแค่ไหนส่วนในประเด็นอื่น ๆ ที่ดีเอสไอจะใช้ในการสอบปากคำ 2 นายตำรวจ ล้วนเป็นคำถามที่ได้รับการแนะนำจากอัยการ
โดยในวันพุธที่ 20 มี.ค.นี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแล้วจะยังมีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด และผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ เข้าร่วมในกระบวนการสอบปากคำด้วย เนื่องจากสำนวนคดีนี้มีพนักงานอัยการเข้ามาเป็นหัวหน้าคณะทำงาน รับหน้าที่ในการกำกับและตรวจสอบสำนวน
ถ้าหากในอนาคตดีเอสไอจะออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่รายใดในฐานะผู้ต้องหาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา หรือจะสรุปสำนวนมีความเห็นทางคดีอย่างไร ก็จะต้องผ่านการกำหนดและรับทราบจากพนักงานอัยการในฐานะหัวหน้าคณะทำงานก่อน
สำหรับบทลงโทษที่มีแนวโน้มว่ากลุ่มพนักงานสอบสวน สภ.อรัญประเทศ ชุดจับกุมและสอบปากคำลุงเปี๊ยก จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อาทิ มาตรา 22 ไม่มีการบันทึกภาพและเสียงระหว่างควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่มีการรายงานต่อพนักงานอัยการ หรือนายอำเภอในท้องที่ให้รับทราบถึงการควบคุมตัวผู้ต้องหา หรือ มาตรา 5 การกระทำทรมานต่อร่างกายและจิตใจ หรือ มาตรา 6 การกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมโหดร้าย หรือข้อกฎหมายอื่น ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การจะแจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่รายใดก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาพยานหลักฐานและยึดความเห็นของอัยการเป็นสำคัญ