เมื่อเวลา 08:45 น. วันที่ 29 ต.ค.67 กรมสอบสวนคดีพิเศษพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวก่อนเข้าประชุมพิจารณารับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ ว่า หลังมีการส่งมอบหลักฐานในคดี ดิไอคอนจากบก.ปคบ.ทางดีเอสไอได้ให้ทีมเล็กตรวจสอบสำนวนเบื้องต้น ซึ่งถือว่าได้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสำนวน แต่ยังไม่ใช่ทั้งสำนวน เพราะสำนวนทั้งหมดยังมาไม่ครบ
“รองวิษณุ”ถกรับคดีต่อจากตร.
แต่เนื่องคดีนี้ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สังคมติดตาม ทางอธิบดี ดีเอสไอ มีข้อสั่งการให้ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะประธานกรรมการกลั่นกรองการรับคดี เชิญประชุมวันนี้เวลา 09:30 น. และให้เชิญผู้แทนตำรวจมาประชุมประกอบการพิจารณาด้วย โดยผลการพิจารณาเป็นอย่างไรจะแจ้งสังคมทราบ
ส่วนการรับไม้ต่อทำคดีจากทางตำรวจ บก.ปคบ. ในขั้นตอนแรกนี้ จะต้องดูกระบวนการว่าเรื่องนี้เข้าข่าย เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นคดีพิเศษได้ โดยอธิบดีรับเรื่องไว้เอง หรือผ่านบอร์ดดีเอสไอ
ดูว่าตำรวจทำอะไรมาบ้าง
กระบวนการที่เกิดขึ้น ก็จะต้องตรวจรับรองสำนวนให้เรียบร้อยและประชุมร่วมกับทางตำรวจว่าทำอะไรไปแล้ว เพื่อวางแผนในการทำต่อเพราะอำนาจในการสอบสวนของดีเอสไอและตำรวจเป็นอำนาจเดียวกันเพียงแต่มีการถ่ายอำนาจผ่านกันมาและเดินหน้าสอบต่อ รวมถึงการวางรูปคดี และการเร่งดำเนินการเพราะมีผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ จึงจำเป็นต้องเร่งระยะเวลาดำเนินการ
สำหรับเอกสารที่ บก.ปคบ.ส่งมาเบื้องต้นจำนวน 92,289 แผ่น เพื่อพิจารณาว่าเป็นคดีพิเศษที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 หรือไม่นั้นดีเอสไอ จะรับไปตรวจเบื้องต้น เพราะสุดท้ายต้องผ่านขั้นตอนแรก คือเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจดีเอสไอหรือไม่ และช่องทางไหนถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวกับอำนาจการสอบสวน
ส่วนกรณีที่เชิญตำรวจมาประชุมด้วย เพราะสำนวนที่ส่งมา ยังมาไม่ครบทั้งหมด จึงต้องคุยในรายละเอียดว่าทางตำรวจได้ทำอะไรไปแล้วทำอะไรไปบ้าง และข้อเท็จจริงที่ได้เป็นอย่างไรบ้าง
เปลี่ยนมือเพราะกม.กำหนด
ส่วนการเปลี่ยนมือจากทางตำรวจบก.ปคบ. มาเป็นดีเอสไอ ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า เราทำงานด้วยกัน การเปลี่ยนเจ้าภาพ เพราะกฎหมาย ดีเอสไอ มีช่องทางบูรณาการได้มากกว่าแต่การทำงานยังต้องทำด้วยกันคู่ขนานกันอย่างไรก็ตามคดี ดิไอคอน ที่เกี่ยวกับคดีการฟอกเงิน ทางดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว
”รองหมู“ตัวแทนสอบสวนกลาง
ต่อมาเวลา 11.30 น. ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.ร่วมกันแถลงมติของคณะกรรมการกลั่นกรอง ในการรับคดีของบริษัทดิไอคอน กรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ
ร.ต.อ.วิษณุ กล่าวว่า หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางได้ส่งสำนวนให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอจะพิจารณารับเป็นคดีพิเศษได้ 2 ช่องทาง คือ
1.ความผิดตามบัญชีท้าย หรือ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และ
2.หากไม่ได้อยู่ในบัญชีท้ายก็จะเป็นการฉ้อโกงประชาชน
ในกรณีนี้ทางอธิบดีดีเอสไอได้มอบหมายให้ตนในฐานะประธานกลั่นกรองการรับเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรค 1 (1) ซึ่งจะเกี่ยวกับ พ.ร.ก.กู้ยืมเงินฯ ประกอบกับ พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ส่วนนี้จะอยู่ในบัญชีท้ายของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จึงได้เชิญพนักงานสอบสวนของ บช.ก. ผบก.ป. และพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอันเป็นประโยชน์ให้คณะกรรมการกลั่นกรองได้พิจารณาในเรื่องนี้
รับเป็นคดีพิเศษใน2ความผิด
เท่าที่รับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินฯ และ พ.ร.บ.คอมฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ เพื่อรับเสนอให้อธิบดีดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษใน 2 ความผิดนี้ต่อไปในช่วงบ่ายวันนี้
สำหรับรูปแบบพฤติการณ์ที่ชัดเจนในการพิจารณาว่าเป็น 2 ความผิดดังกล่าว คือ ข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่รอง ผบช.ก. และทีมงานได้มาให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวน ทั้งเรื่องแผนประทุษกรรม แผนการตลาดจากคอมพิวเตอร์ งบการเงิน และพยานหลักฐานอื่น ซึ่งชัดเจนว่าเข้าองค์ประกอบความผิด พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินฯ
แยกคดีฟอกเงินออกจากลูกโซ่
ส่วนกรณีคดีพิเศษเรื่องฟอกเงินทางอาญา จะไม่ได้มารวมในคดีแชร์ลูกโซ่ดังกล่าว เพราะมันต่างกรรมกัน ไม่เหมือนฉ้อโกงประชาชนที่กรรมเดียวกันแต่ผิดกฎหมายหลายบท แต่ฟอกเงินมันจะต่างกรรมกัน จึงต้องแยกเป็นอีกเลขคดีพิเศษ คือ คดีพิเศษที่ 115/2567
ร.ต.อ.วิษณุ กล่าวว่า ดีเอสไอจะทำงานร่วมบูรณาการกับตำรวจ ไม่ใช่การนับ 1 แต่เป็นการนับ 9 นับเพื่อให้ประขาชนได้ประโยชน์มากที่สุด โดยทางตำรวจก็ยังจะมาร่วมสอบปากคำกับดีเอสไอได้ ส่วนสถานที่ในการสอบปากคำต้องขอประชุมพิจารณาร่วมกันอีกครั้ง เพื่อให้สะดวกที่สุด
ยืนยันว่าเราไม่ไปตัดอำนาจของตำรวจที่มีการทำมาก่อน เพราะเราทำงานร่วมกัน สนับสนุนกัน บูรณาการทีมงานกัน และทาง บช.ก. ก็ได้ส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาให้ดีเอสไอตลอดเวลา
ยันทันฝากขัง7ฝากแน่
การจะสอบปากคำผู้ต้องหารายใดเพิ่มเติม ดีเอสไอจะประชุมร่วมกันกับตำรวจ เพื่อพิจารณาว่าส่วนใดบ้างที่ บช.ก. อยากจะดำเนินการ อีกทั้งเรื่องหมายจับของผู้ต้องหากลุ่มถัดไป ดีเอสไอขอดูที่พยานหลักฐานสำคัญที่ต้องเพียงพอตามสมควร และเราต้องพิจารณาร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง จะทำอย่างมีประสิทธิภาพ ทันผัดฝากขังผู้ต้องหาแน่นอน เพราะข้อกล่าวหา พ.ร.ก.กู้ยืมเงินฯ สามารถขยายเวลาฝากขังได้ถึง 7 ฝาก แต่เราก็ต้องรีบพิจารณารวดเร็วด้วย
ทั้งนี้จะได้มีหนังสือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้อัยการมาร่วมเป็นที่ปรึกษาในคดี รวมทั้งจะเชิญผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทุกด้านมาเป็นที่ปรึกษาในคดีเช่นเดียวกัน เพราะเราต้องดูการต่อสู้ของผู้ต้องหาและประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเส้นทางการเงิน การวิเคราะห์ การเสียภาษี เนื่องด้วยเขาอยู่ในวงการขายตรงมาหลายปี
รอข้อเท็จจริงเปลี่ยนสถานะ5แม่ข่าย
ส่วนกรณีแม่ทีม 5 ราย ที่นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายของบอสพอล จะเข้ามายื่นร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อขอให้ดีเอสไอ เปลี่ยนสถานะจากผู้เสียหายเป็นผู้ต้องหานั้น คงต้องขอดูข้อเท็จจริงก่อนว่ามีประโยชน์ตรงไหน หรือมีพฤติการณ์ที่เราจะใช้มาเป็นพยานหลักฐานในคดีได้หรือไม่ อะไรที่ส่งมาแล้วเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เรายินดี แต่ก็ต้องสอดรับกับหลักฐานที่เรารับมา โดยเฉพาะหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์
ยึดข้อเท็จจริงตามหลักฐาน
สำหรับลักษณะของตัวการร่วมในการกระทำความผิด เราสามารถพิจารณาได้ว่าอะไรคือตัวการหลัก ตัวการร่วม และต้องยึดข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน หรือรู้หรือควรรู้ แล้วอ้างไม่รู้ เราก็ต้องใช้พิจารณา รวมทั้งต้องใช้หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ พวกเส้นทางการเงินมีลักษณะอย่างไร ซึ่งในเรื่องแชร์ลูกโซ่มันชัดเจนอยู่แล้ว
ดังนั้นการจะออกหมายเรียกใครในกลุ่มที่ 2 มาสอบปากคำหรือดำเนินคดี ก็ต้องดูเส้นทางการเงินว่าใครได้รับประโยชน์ หรือเกี่ยวข้องกับผู้กระทำความผิดตัวการหลักที่อยู่ในเรือนจำฯ หรือเรียกว่าตัวการร่วม
ทั้งนี้ กลุ่มพรีเซนเตอร์จะมีความผิดด้วยหรือไม่นั้น ก็ต้องมาดูรายละเอียดและข้อเท็จจริงเป็นรายบุคคล เพราะต้องดูสิ่งตอบแทนที่เขาได้รับ
ส่วนเรื่องจำนวนบัญชีแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับแผนธุรกิจบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ประมาณ 300,000บัญชีอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบเรื่องนิติวิทยาศาสตร์ แต่ยังไม่ขอเผยว่ามีชื่อบุคคลสำคัญหรือไกระบวนการบวนการ
นาฬิกาเก๊ของ“บอสอ๊อฟ”
ขณะที่ประเด็นเรื่องนาฬิกาปลอม ที่ดีเอสไอไปตรวจยึดมาก่อนหน้านี้ เบื้องต้นมีกระแสข่าวว่าเป็นของนายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ บอสอ๊อฟ หากเป็นการสะสมไว้เพื่อสำหรับจัดฉากโชว์ เพื่ออ้างว่าประกอบธุรกิจกับเขาแล้วจะมีนาฬิกาหรู แบบนี้ตนจะยึดไว้เป็นของกลางในคดี
ส่วนผลตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญยังไม่ได้มีการแจ้งมา อยู่ระหว่างตรวจสอบ หากตรวจแล้วพบว่าเป็นของแท้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เสียหายในคดีที่จะได้รับชดเชยเฉลี่ยเงินคืนได้มากขึ้นจาก ปปง.
“รองหมู”แจงเหยื่อแจ้งฉ้อโกงและพรก.กู้ยืมเงิน
ด้าน พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.กล่าวว่า เวลาตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่มีผู้เสียหายมาแจ้งความเอาผิดกลุ่มผู้ต้องหาและเครือข่าย ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนในประเด็นต่าง ๆ ไปเป็นจำนวนมาก ในขณะนั้นผู้เสียหายได้แจ้งความเอาผิดในหลายข้อหา ทั้งความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินฯ และความผิดในข้อหาฉ้อโกงประชาชน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อใช้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหา
เร่งขอหมาย-การข่าวจ่อเผ่นนอก
แต่ในระยะเวลาเพียง 5 วันหลังสืบสวนพบว่ากลุ่มผู้ต้องหาเริ่มมีการยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและมีการเตรียมการหลบหนีออกนอกประเทศจึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีไปให้ศาลอาญาพิจารณาออกหมายจับผู้ต้องหาทุกคน ในความผิดข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ และฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีหลักฐานเพียงพอจนศาลออกหมายจับให้
พฤติการณ์ชัดแชร์ลูกโซ่
หลังจากจับกุมผู้ต้องหาได้ครบทุกคน ตำรวจได้สอบปากคำผู้ต้องหาและปรากฏหลักฐานข้อมูลเส้นทางการเงิน งบการเงิน รูปแบบการตลาด การเสียภาษี พบว่ามีรูปแบบพฤติการณ์เสนอผลตอบแทน สร้างภาพลักษณ์ภูมิฐาน ชักจูงให้มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ของแชร์ลูกโซ่
ยอดเหยื่อยอดเสียหายเข้าข่ายคดีพิเศษ
เมื่อตรวจสอบจำนวนของผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายจึงชัดเจนว่าคดีดังกล่าวเข้าตามบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่ต้องมีผู้เสียหายจำนวนมากกว่า 300 คนและมูลค่าความเสียหายมากกว่า 100 ล้านบาท จึงต้องส่งคดีดังกล่าวให้ดีเอสไอพิจารณา ไม่ได้เป็นการโยนคดี แต่เป็นไปตามที่กฎหมายระบุ จึงเร่งรวบรวมพฤติการณ์และพยานหลักฐานทั้งหมดส่งให้ดีเอสไอนำไปดำเนินคดีต่อ
เหยื่อทยอยแจ้งความยังไม่จบสิ้น
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เริ่มทำคดีมาจนถึงปัจจุบัน การรับแจ้งความในสำนวนของผู้เสียหายยอมรับว่ายังไม่เรียบร้อยและยังไม่ทราบว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อใด เนื่องจากมีผู้เสียหายแจ้งความเข้ามามากกว่า 8,000 คน ทั้งที่บช.ก.และจากต่างจังหวัด
สำนวนที่แจ้งความที่ตำรวจสอบสวนกลางก็ได้ทยอยส่งสำนวนให้ดีเอสไอจนเกือบครบหมดแล้ว แต่ต้องรอให้สถานีตำรวจแต่ละพื้นที่ส่งสำนวนเข้ามาที่ส่วนกลาง เพื่อรวบรวมส่งให้ดีเอสไอต่อไป
หลักฐานในมือตำรวจมีเกิน70%
สำหรับการทำสำนวนคดีและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดกลุ่มผู้ต้องหา ยืนยันว่าขณะนี้ตำรวจทำสำนวนคดีและมีพยานหลักฐานเกินกว่าร้อยละ 70 หากดีเอสไอต้องการข้อมูลหรือพยานหลักฐานและความช่วยเหลือใด ๆ ก็พร้อมดำเนินการสนับสนุน
วันนี้ส่งสำนวนเพิ่มอีก17ลัง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อช่วงเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ. ได้ทยอยนำส่งสำนวนคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป เพิ่มเติมแก่ดีเอสไออีก 17 ลัง โดยลังสำนวนทั้งหมดจะถูกนำไปไว้รวมกันกับ 20 ลังสำนวนเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ห้องกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ชั้น 8 และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะได้ตรวจสอบทุกแฟ้มเอกสาร ทั้งสำนวนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหาย และคำให้การของผู้ต้องหา