สำนักงานตำรวจแห่งชาติรุกเดินหน้าปราบอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ ควบคู่สร้างวัคซีนไซเบอร์ ย้ำอย่าผันตัวเป็นบัญชีม้า โทษหนักทุกราย
สืบเนื่องจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามแต่งตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ร่วมเป็นคณะกรรมการ
มี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.), พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ/รอง ผอ.ศปอส.ตร.
ร่วมขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อยกระดับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน รูปแบบหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
วันที่ 24 ตุลาคม 2568 เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง จตช./รอง ผอ.ศปอส.ตร.) พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
แถลงผลปฏิบัติการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีผลการปฏิบัติของ ศปอส.ตร. และศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) หรือ International Anti-Scam and Human Trafficking Syndicate Command Center (Warroom IAC) ในห้วงวันที่ 21-23 ตุลาคม 2568 ในหลายพื้นที่ 4 คดี ดังนี้
คดีที่ 1 พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ผู้เสียหายได้ถูกคนร้ายหลอกลวงว่าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง จะอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับเงินเกษียณอายุข้าราชการ และหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงิน เพื่อคุ้มครองข้อมูล เป็นเงิน 252,200 บาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรหนองขาม และสถานีตำรวจภูธรศรีราชา ได้รับแจ้งข้อมูลการถอนเงินลักษณะน่าสงสัยจาก Warroom IAC สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไปตรวจสอบยังธนาคารที่เกิดเหตุ
พบ นายณธพลฯ กำลังรอถอนเงินสดจากบัญชีของตนเอง เพื่อนำไปให้กับ นายธนพงษ์ฯ โดยก่อนหน้านี้ได้นำเงินสดที่ถอนมาครั้งแรกไปให้ นายธนพงษ์ฯ แล้ว 250,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าควบคุมตัว นายธนพงษ์ฯ ที่รออยู่หน้าธนาคาร
แจ้งข้อหา “เปิดหรือยินยอม และสนับสนุนให้ผู้อื่นเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตน โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่า จะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย และสามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหาย ตามโครงการ Money Cash Back เป็นเงิน 250,000 บาท
คดีที่ 2 พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ภ.4 ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)
ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมือง 4 นำกำลังพร้อมหมายค้นศาลจังหวัดขอนแก่น ตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง หมู่ 10 ต.สำราญ อ.เมืองขอนแก่น พบชายชาวจีน 4 คน และหญิงชาวเมียนมา 1 คน เช่าบ้านหรูเปิดฐานปฏิบัติการหลอกคนจีนข้ามประเทศ
พบพฤติการณ์หลอกลวงเหยื่อหลายรูปแบบทางออนไลน์หลายแพลตฟอร์ม ในลักษณะ Hybrid Scam สร้างแพลตฟอร์มปลอมเทรดทองคำ หลอกคนจีนด้วยกัน โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
จากการตรวจค้นพบของกลาง คอมพิวเตอร์ 4 เครื่อง, โน้ตบุ๊ค 1 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 27 เครื่อง, เครื่องขยายสัญญาณอินเทอร์เน็ต 4 เครื่อง, เงินสด 140,650 บาท และสมุดบัญชีธนาคารประเทศเมียนมา
แจ้งข้อหา “อั้งยี่, ซ่องโจร, เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาต และไม่แจ้งที่พักอาศัยต่อเจ้าหน้าที่” ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างขยายผล รวมถึงตรวจสอบเครือข่ายที่อาจเชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติ
คดีที่ 3 พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 เวลา 01.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2
นำกำลังจับกุมนายหู สัญชาติจีน พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง, บัตร atm ธนาคารต่างๆ รวม 2,057 ใบ และเงินสด 537,900 บาท
สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ออกตรวจป้องกันเหตุในพื้นที่ เมื่อมาถึงหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พบ ชายไม่ทราบชื่อ ยืนอยู่หน้าตู้ ATM ลักษณะมีพิรุธ จึงขอตรวจสอบและตรวจค้นพบของกลางบัตร atm หลายใบ และเงินสดจำนวนหนึ่ง
จากนั้นได้ขยายผลเข้าตรวจค้นห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง และพบของกลางทั้งหมด แจ้งข้อหา “มีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบไว้ในครอบครอง และ เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นๆ” ควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 4 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.2 ตรวจสอบข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับการกระทำความผิดในลักษณะการซื้อ-ขายสินค้าไม่ตรงปก หรือการรับสินค้าหรือพัสดุที่ไม่ได้สั่งซื้อ และเรียกเก็บเงินจากผู้รับพัสดุปลายทาง (COD) มีประชาชนหลงเชื่อและจ่ายเงินไป
เมื่อตรวจสอบสินค้าในกล่องพัสดุพบสินค้าไม่มีคุณภาพ และเป็นสินค้าที่ตนไม่ได้สั่ง ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมากตรวจสอบผ่านบริษัทขนส่งเอกชน พบว่า นายรัศมิธ์ศิลป์ฯ ในห้วงตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม ถึงวันที่ 7 กันยายน 2568 พบข้อมูลการส่งพัสดุทั้งหมด 47,244 ชิ้น รวมยอด COD ที่จะได้รับ 10,680,668 บาท
อีกรายคือ นายชัยวัฒน์ฯ ในห้วงวันที่ 1 กันยายน ถึงวันที่ 15 กันยายน 2568 ได้จัดส่งพัสดุประมาณ 22,500 ชิ้น ตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มคนร้าย พบว่าในช่วงเดือนกันยายน 2568 มีการโอนเงินจากบริษัทขนส่งให้กับ นายชัยวัฒน์ฯ รวม 1,440,328 บาท
นอกจากนี้ ได้ตรวจสอบโกดังเก็บสินค้า พบว่า นางสาวรัชฎาภรณ์ฯ เป็นเจ้าของ จากพฤติการณ์ทั้งหมดของกลุ่มคนร้าย ประกอบด้วย นางสาวรัชฎาภรณ์ฯ, นายชัยวัฒน์ฯ และ นายรัศมิธ์ศิลป์ฯ พร้อมพวก รวม 15 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งพัสดุหลอกลวงผู้เสียหายหรือประชาชนทั่วไป ที่หลงเชื่อรับพัสดุที่ตนไม่ได้สั่ง แล้วเก็บเงินปลายทาง (COD) จนเกิดความเสียหายดังกล่าว ตำรวจไซเบอร์จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับและจับกุมได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง จตช./รอง ผอ.ศปอส. ตร. นำเงินที่อายัดได้ทันและผ่านการดำเนินการตามขั้นตอนเป็นที่เรียบร้อย คืนให้กับผู้เสียหาย 1 ราย จากคดีถูกหลอกลวงเกี่ยวกับเงินเกษียณอายุราชการให้โอนเงินเพื่อคุ้มครองข้อมูล 250,000 บาท
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ ในฐานะได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและ ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะทำงานสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ฝากเตือนประชาชนที่คิดจะรับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร หรือไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสแกนหน้ายืนยันตัวตนโอนเงินจากการกระทำความผิด
การกระทำเช่นนี้ผิดทางกฎหมายและมีอัตราโทษสูง โดยมีความผิดตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2568 มาตรา 9 ฐานเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท และอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 25 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 80,000 บาท ถึง 300,000 บาท

























