Sunday, June 1, 2025
More
    Homeข่าวทั่วไป“บิ๊กต๊ะ”เผย“ลุงป้อม”ชื่นชมแพทยสภาถือหลักการและประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

    “บิ๊กต๊ะ”เผย“ลุงป้อม”ชื่นชมแพทยสภาถือหลักการและประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

    โฆษก พปชร.เผย“บิ๊กป้อม”ชื่นชมแพทยสภา ทำอย่างตรงไปตรงมา ถือหลักการและประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก มากกว่าประโยชน์ของคนบางคน เชื่อการวีโต้ของรมว.สธ.เป็นแค่การยื้อเวลา

    วันที่ 30พ.ค.68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า

    “กรณีเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 ประธานในที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา แถลงมติที่ประชุมพิจารณาผลการสอบสวนจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

    โดยให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย แยกเป็นให้ว่ากล่าวตักเตือน 1 ราย ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ราย กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง

    และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้วีโต้ผลการพิจารณาและส่งผล การพิจารณาให้แพทยสภา พิจารณาอีกรอบหนึ่ง โดยกล่าวว่า

    “ เรื่องนี้เป็นไปตามที่สังคมคาดไว้ ว่า รมว. สาธารณสุข จะใช้สิทธิวีโต้ ตาม ม.25 พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 แม้นายสมศักดิ์จะใช้อำนาจยับยั้งมติแพทยสภาแล้วก็ตาม แต่ในท้ายสุดมติดังกล่าวต้องกลับไปที่ประชุมใหญ่แพทยสภาอยู่ดี

    เชื่อมั่นว่า มติที่ประชุมใหญ่คงเป็นไปตามเดิม เพราะข้อโต้แย้งของ รมว.ในฐานะสภานายกพิเศษ ไม่มีเหตุผลหรือสาระสำคัญที่จะทำให้มติแพทยสภาเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่แย้งเหตุผลทางธุรการซึ่งกรณีดังกล่าวทางแพทยสภาได้ตอบกลับไปยังสภานายกพิเศษ เรียบร้อยแล้ว การวีโต้คงมีผลเพียงแค่ยื้อเวลาออกไป และเพื่อให้นายใหญ่เห็นว่า จงรักภักดีมากกว่าหลักการ

    ท้ายที่สุด หากแพทยสภายืนยันตามผลการพิจารณาแต่เดิม ก็จะส่งผล ในการพิจารณาของ ปปช. และศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 13 มิถุนายนที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน“

    ”มีกระบวนการพยายามสร้างกระแส เพื่อดิสเครดิต และทำลายความน่าเชื่อถือของแพทยสภาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือคนบางคนเพื่อไม่ให้ต้องกลับไปรับโทษจำคุกอีก ถ้าการเมืองยังคงเล่นสกปรกอย่างนี้ ประเทศชาติไม่เจริญแน่นอน

    ทั้งนี้ เพราะหากมติแพทยสภายังคงอยู่หรือมีผลครบถ้วนตามกฏหมาย แสดงให้เห็นว่า การออกมาจากเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อตรวจรักษาเป็นไปโดยทุจริต และมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกมาตรวจรักษา  180 วัน ไม่มีการป่วยในภาวะวิกฤต ที่อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

    กรณีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีเหตุจำเป็นจะต้องสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร กลับไปรับโทษตามกฎหมายตามกำหนดเสียก่อน

    ดังนั้น การอ้างว่าถูกควบคุมตัว หรือรับโทษมาแล้ว 180 วัน หรือ 1 ใน 3 ของโทษที่เหลือนั้น หากไม่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นไปโดยผิดขั้นตอนและระเบียบกฎหมาย จะส่งผลให้นายทักษิณฯขาดคุณสมบัติหรือเป็นเหตุให้ไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษในโทษที่เหลือ 1 ปีนั้นได้

    เมื่อนายทักษิณฯขาดคุณสมบัติในการขอพระราชทานอภัยโทษ การขอพระราชทานอภัยโทษจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบัญญัติของกฎหมาย จึงจำเป็นต้องกลับไปรับโทษที่เหลือ 1 ปีตามเดิม

    นอกจากนี้ ผู้ป่วยภาวะวิกฤติที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิต ต่อมาเมื่อภาวะวิกฤติที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิตหมดไป ก็ถือว่า ความจำเป็นที่จะต้องพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำก็จะหมดไปด้วย

    เป็นหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องตรวจสอบและนำตัวผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นกลับไปยัง โรงพยาบาลในเรือนจำหรือเข้าควบคุมในเรือนจำตามแต่อาการที่ปรากฎ ไม่ใช่พักอยู่ รพ. ภายนอกเรือนจำจนหายปกติ แข็งแรง ตีกอล์ฟ เต้นระบำ นวดหน้า ขึ้นเวทีปราศรัย ด่าใครต่อใครได้

    อีกประการหนึ่ง กระบวนการการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ กรณีนี้ เป็นการควบคุม ตัวตามคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การออกไปรับการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ จะขออนุญาตศาลฯก่อน

    หากเป็นกรณีเร่งด่วนไม่สามารถขออนุญาตศาลเพื่อส่งตัว มาทำการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำได้ในทันที ก็ต้องรายงานเพื่อขออนุญาตศาลฯส่งตัวไปตรวจรักษาเพื่อทุเลาโดยเร็วที่สุด

    ในกรณีนี้ ก็ไม่มีการขออนุญาตต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามกฏหมายแต่อย่างใด

    จากกระบวนการการสอบสวนของแพทยสภา ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ทำให้เห็นว่า นายทักษิณฯ ไม่ได้ป่วยเป็นเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย หรือเจ็บป่วยในภาวะวิกฤติที่อันอาจจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต เอกสารการตรวจทางการแพทย์ มีเหตุและข้อควรสงสัยว่า ไม่ตรงความจริง จึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ลงโทษดังกล่าว “

    พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าว “แม้จะมีการพยายามอ้างจากกลุ่มบุคคลหลายกลุ่ม โดยอ้างกฏหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของราชทัณฑ์ หรือกฎหมายของหน่วยงานอื่น ซึ่งเป็นอนุกฏหมาย ไม่อาจมาหักล้างหรือ เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่ออกโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้

    อีกทั้งการปฏิบัติตามกฏหมายย่อย ก็ยังปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วน แสดงถึงข้อพิรุธที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะ เป็นการส่งตัวคนไข้ออกจากเรือนจำโดยแพทย์ผู้รับผิดชอบยังไม่ได้ตรวจคนไข้โดยตรง เพียงแค่สอบถามอาการจากพยาบาลเวรทางโทรศัพท์ เท่านั้น

    ตลอดจนหลักฐานทางเวชระเบียนพยาบาลที่ปรากฎในคอมพิวเตอร์ และรายการจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้มีรายละเอียดยืนยันจากเจ็บป่วยร้ายแรง ที่ต้องรับการตรวจรักษาภาวะวิกฤตินานถึง180วัน “

    ”ท้ายที่สุด ทาง พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ กล่าวชื่นชมแพทยสภาที่ทำอย่างตรงไปตรงมา ถือหลักการและประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก มากกว่าประโยชน์ของคนบางคนและวอนสังคมช่วยกันปกป้องเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีแพทย์สภา เพื่อให้คง ทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป”

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments