วันที่ 27 พ.ค. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) สวนพลู พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบช.สตม.
พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. พร้อมเจ้าหน้าที่บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมคดีอาชญากรรมที่น่าสนใจ 6 คดี
คดีแรกจับกุมนาย เดวิด จอห์น มาแชล อายุ 47 ปี ชาวอังกฤษ หลังก่อเหตุจับน.ส.สุกานดา (สงวนนามสกุล)อายุ 56 ปี ภรรยาชาวไทย
ด้วยการผลักตกคอนโดโยนลงมาจากชั้น 8 อาคารบ้านฉางคลีฟบีชคอนโดเทล จว.ระยอง จับกุมได้โรงแรมแห่งหนึ่งในซ.ลาดพร้าว 130
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าคดีนี้ศาลจังหวัดระยองได้อนุมัติออกหมายจับ ลงวันที่ 30 เม.ย.2563 ในผิดฐาน “หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และพยายามฆ่า”
ชุดสืบสวนใช้เวลาแกะรอยนานกว่า 16 วัน หลังผู้ต้องหาก่อเหตุก็ได้หลบหนีออกจากบ้านพักพร้อมรถยนต์เก๋งโตโยต้า รุ่นอัลติส สีเทา เข้ามากบดานหลายแห่ง
ก่อนชะล่าใจคิดว่าตำรวจจะไม่ติดตามจึงมาเช่าโรงแรมย่านซอยรัชดา 17 ก่อนจะย้ายไปที่รร.ย่านลาดพร้าวและถูกจับกุมในที่สุด
คดีที่สองจับกุมนายกิตติพงษ์ อายุ 21 ปี ชาวจ.สกลนคร ได้ที่ห้องเช่าย่านคลองสามวา กรุงเทพฯ
หลังชุดสืบสวนได้รับข้อมูลของศูนย์ประสานงานช่วยเหลือเด็กหายและเด็กถูกละเมิดแห่งชาติ (NCMEC) ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า
มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ “ชื่อนี้ กูคิดตั้งนาน” อัพรูปภาพและคลิปวีดีโอลามกอนาจารเด็กอายุประมาณ 5 – 10 ปี 23 ไฟล์ เข้าไปในระบบอินเตอร์เน็ต
ทราบว่ามีผู้ต้องสงสัยเป็นชาว จ.สกลนคร ทำงานในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนรวบรวมหลักฐานขอหมายค้นศาลอาญามีนบุรีเข้าตรวจสอบห้องเช่าดังกล่าว
พบนายกิตติพงษ์ พร้อมโทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง มีภาพลามกอนาจารเด็กผู้หญิงในโทรศัพท์มือถือหลายรายการ
สอบสวนนายกิตติพงษ์ รับว่าเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ “ชื่อนี้ กูคิดตั้งนาน” และอยู่ในกลุ่มไลน์สำหรับแบ่งปันภาพถ่ายคลิปลามกอนาจาร ซึ่งต้องเสียค่าสมัครสมาชิกราคา 350 บาท
โดยตนเป็นผู้นำภาพลามกอนาจารเด็กหญิงไปลงในกลุ่ม เจ้าหน้าที่จับกุมนายกิตติพงษ์ในข้อหา “ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ ในทางเพศสำหรับตัวเองหรือผู้อื่น”
ควบคุมตัวส่ง บก.ปคม. พร้อมประสาน สภ.โคกศรีสุพรรณ ท้องที่เกิดเหตุอายัดตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
คดีที่สามจับกุม น.ส.พนิตนาฎ (สงวนนามสกุล) ในข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นผู้อื่น รีดเอาทรัพย์” ได้ที่คอนโดหรูย่านซอยอารีย์ แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม.
โดยคดีนี้ผู้เสียหายเป็นชายชาวต่างชาติ ถูกน.ส.พนิตนาฎ ที่รู้จักกันมาก่อน ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางโทรศัพท์จาก น.ส.พนิตนาฎ ว่า
ถูกชายชาวต่างชาติหลอกไปขายบริการที่อยู่ต่างประเทศ และให้ผู้เสียหาย โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.พนิตนาฎ เพื่อเป็นค่าไถ่ตัวกลับมายังประเทศไทย
ก่อนจะมีข้อความข่มขู่ว่าจะเปิดเผยความลับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสียหาย กับ น.ส.พนิตนาฎ ให้ครอบครัวของผู้เสียหายทราบ
ผู้เสียหายเกรงกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผยและหลงเชื่อจึงได้โอนเงินไปหลายครั้ง รวมแล้วเป็นเงินกว่า 1.5 ล้านบาท
แต่ก็ยังไม่สามารถไถ่ตัว น.ส.พนิตนาฎ กลับมายังประเทศได้ เชื่อว่าน่าจะถูกหลอก จึงได้มาแจ้งความดำเนินคดี
ทั้งนี้จากการสืบสวนทราบว่า น.ส.พนิตนาฎ ไม่ได้ถูกหลอกไปขายบริการที่ต่างประเทศตามที่กล่าวอ้างจริง
โดยพบว่า น.ส.พนิตนาฎ ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้เอาเงินที่หลอกผู้เสียหายไปใช้จ่ายส่วนตัว ชุดจับกุมจึงรวบรวมพยานเข้าจับกุมได้ที่คอนโดดังกล่าว
เมื่อตรวจค้นห้อง พบโทรศัพท์มือถือและบัตรอิเล็กทรอนิกส์ผู้ต้องหาของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด รวม 3 รายการ
และตรวจพบอีเมล์ที่ น.ส.พนิตนาฎ ปลอมแปลงขึ้นเพื่อส่งข้อความไปข่มขู่ให้ผู้เสียหาย โอนเงิน
สอบสวน น.ส.พนิตนาฎฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.แสนสุข ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 4 จับกุมนายเอ อายุ 32 ปี และนางบี อายุ 34 ปี สองสามีภรรยาชาวเมียนมา นายหน้าค้ามนุษย์ ลักลอบนำแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา 15 คน เดินทางผ่านประเทศไทยเพื่อไปยังประเทศมาเลเซีย
ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันนำหรือพาบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรฯ, ร่วมกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์, สบคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ฯ,
มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นฯ” ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งสง ดำเนินคดีตามกฎหมาย
คดีที่ 5 ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี จับกุมนายไพศาล อายุ 51 ปี สัญชาติไทย ลักลอบนำแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา 10 ราย ผ่านชายแดนด่านบ้านแหลม ต.ทับไทร จ.จันทบุรี
โดยแรงงานทั้งหมดเดินเท้าผ่านช่องทางธรรมชาติ ก่อนขึ้นรถตู้โดยสารที่มีนายไพศาลเป็นคนขับ
ดำเนินคดีนายไพศาล ในความผิดฐาน “รู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ
” ส่วนแรงงานต่างด้าวทั้ง 10 ราย ดำเนินคดีในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ” ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป
คดีที่ 6 สืบเนื่องจากได้บูรณาการร่วมกันกับ ตม.จังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง สืบสวนขยายผลจากกลุ่มคนร้ายคดีโรแมนซ์สแกมของเครือข่าย น.ส.สุดาทิพย์ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2563 ที่ผ่านมา
จนสามารถจับกุมนายโจซี ชาวไนจีเรีย ผู้ต้องหาเครือข่ายโรแมนซ์สแกมในพื้นที่ภาคกลาง
ทำหน้าที่เป็นผู้คอยบงการอยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดของกลุ่มเครือข่ายโรแมนซ์สแกม ข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางและเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุดการอนุญาต” นำส่ง สภ.เมืองระยอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป