ผบ.ตร.ลงพื้นที่สุพรรณบุรี ตรวจที่เกิดเหตุรง.พลุระเบิด พบเสียชีวิต 23 ราย สั่งตั้ง ศปก.พิสูจน์อัตลักษณ์ระดมเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียทุกมิติ พร้อมสั่งตำรวจทั่วประเทศหารือฝ่ายปกครองตรวจคุมเข้มโรงงานพลุ พร้อมกำหนดโซนนิ่งความปลอดภัย
ผบ.ตร.ลงพื้นที่
วันที่ 18 ม.ค.67 เวลาประมาณ 10.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เดินทางมาตรวจติดตามการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.7 , สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในเหตุการณ์โรงงานพลุระเบิด
มี พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. , นาย ดรณ์ สมิตะเกษตริน รอง ผวจ.สุพรรณบุรี , พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.อุทัย กวินเดชาธร รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.พิพัฒน์ ชุ่มมณีกูล รอง ผบช.ภ.7 และ นพ.พัฒธพงษ์ ประชาสันติกุล นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉินและนิติเวช ร่วมรายงานผลการปฏิบัติ ณ วัดโรงช้าง ต.ศาลาขาว อ.เมืองสุพรรณบุรี
ยอดเสียชีวิตทั้งหมด23ศพ
ความคืบหน้าล่าสุดขณะนี้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ อยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ซึ่ง ผบ.ตร.สั่งการให้ ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ(ศปก.) 2 จุด คือ ศปก.สน.ฯ ตั้งอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ , นิติเวช, พิสูจน์หลักฐาน , ฝ่ายปกครอง, กู้ภัย ตรวจพิสูจน์สถานที่เกิดเหตุ / และ ศปก.ร่วมฯ ณ วัดโรงช้าง เพื่อนำศพทั้ง 23 ราย มาตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ และให้การช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต, ประสานงานญาติ, รับแจ้งคนหายเพิ่มเติม โดยมีเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานอยู่ร่วมปฏิบัติงาน
ให้อีโอดีเคลียร์พื้นที่
ผบ.ตร. กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย ในวันนี้มาเป็นกำลังใจให้ทีมงาน เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยพยายามลงมาช่วยเหลือญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต และตรวจสอบให้ได้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร ที่พิสูจน์ได้ ตามข้อห่วงใยของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขณะนี้ยืนยันเสียชีวิต ประมาณ 23 ราย แต่ตอนนี้เราพบร่าง 22 ราย ยังอยู่ในที่เกิดเหตุ 4 ราย กำลังจะเคลียร์พื้นที่เพื่อให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และอีโอดีเข้าไปเคลียร์พื้นที่อีกครั้ง ตอนนี้ยังทยอยนำศพออกมา การเข้าเคลียร์พื้นที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ต้องรักษาสภาพที่เกิดเหตุไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อตรวจสอบวัตถุพยานที่เกิดเหตุนั้นสำคัญเพื่อ ดูสาเหตุการเกิดเหตุครั้งนี้ด้วย
ใช้นิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์
นอกจากนี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า เรื่องระเบิดไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ เราต้องเก็บวัตถุพยานไว้ให้ได้มากที่สุด เราไม่มีผู้รอดชีวิตจากที่เกิดเหตุมาเลย จึงไม่มีประจักษ์พยานมาบอกว่าสาเหตุอะไร ดังนั้นต้องใช้นิติวิทยาศาสตร์ในการช่วยตรวจพิสูจน์ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงาน
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ระดมชุดพิสูจน์หลักฐาน นิติเวช และพนักงานสอบสวน ร่วมตรวจที่เกิดเหตุ หาพยานหลักฐาน พิสูจน์ทราบสาเหตุการระเบิด อย่างละเอียดรอบคอบ และทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งประเด็นข้อสงสัยของสังคมเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ตรวจสอบรง.พลุทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้ตำรวจทั่วประเทศ ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงาน ที่เก็บพลุ วัตถุอันตรายที่ในลักษณะใกล้เคียง เพื่อหามาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก และหารือฝ่ายปกครองว่า เราควรจะนำโรงงานแบบนี้ออกมาอยู่นอกชุมชนดีกว่าหรือไม่ ไม่ควรไปตั้งในชุมชน เพราะโอกาสเกิดระเบิดหลายสาเหตุ เมื่อเป็นอันตรายและเกิดการสูญเสียจำนวนมาก เราก็ต้องคุยกัน หรืออาจต้องกำหนดโซนนิ่งหรือไม่ เพื่อไม่ให้ชุมชนตามออกไป เราพยายามทำ ไม่อยากให้วัวหายแล้วล้อมคอก
”รองฯต่าย“เผยล่าสุดคดีคืบหน้าไปมาก กำชับเร่งตรวจอัตลักษณ์ศพเสร็จภายใน 2 วัน ตรวจเสร็จแล้ว 5 ราย อนุญาตให้ญาติรับร่างไปประกอบพิธีทางศาสนาได้วันนี้
ค้นหาครบ23ศพ
ต่อมาเวลา 13.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป.) เดินทางมาที่ ศปก.สน. (วัดโรงช้าง สุพรรณบุรี) เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยมารายงานให้ข้อมูลถึงความคืบหน้าการดำเนินการต่างๆ จากกรณีเกิดเหตุระเบิดโรงงานผลิตพลุไฟ ตามที่ได้สั่งการไปเมื่อคืนที่ผ่านมา มีผลความคืบหน้าในการดำเนินการดังนี้ การค้นหาร่างผู้เสียชีวิตสามารถค้นหาได้ครบ 23 ร่าง ได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตมาที่วัดโรงช้างเพื่อเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์
เร่งพิสูจน์อัตลักษณ์
ในที่เกิดเหตุชุดปฏิบัติ EOD และพิสูจน์หลักฐานอยู่ระหว่าง การปฎิบัติงานภาคสนามในที่เกิดเหตุ เพื่อให้การเคลียร์พื้นที่เกิดความปลอดภัยสูงสุดและเก็บพยานหลักฐานต่างๆประกอบการสอบสวน ส่วนการร่วมพิสูจน์อัตลักษณ์ศพผู้เสียชีวิตมีทีมแพทย์จากนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจและแพทย์จากโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี ร่วมปฎิบัติ ขณะนี้ตรวจเสร็จสิ้นแล้ว 10 ร่าง(ศพ) ในประเด็นนี้ รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ดำเนินการตรวจให้เสร็จสิ้นภายในคืนนี้
นิติเวช-พฐ.แบ่งหน้าที่ตรวจดีเอ็นเอ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า สำหรับกระบวนการขั้นตอนตรวจพิสูจน์เพื่อยืนยันว่า ร่างผู้เสียชีวิตเป็นใครและเป็นญาติของใคร ได้แบ่งหน้าที่กันระหว่างนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจและสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน นิติเวชจะตรวจดีเอ็นเอจากร่างศพผู้เสียชีวิตและสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐานจะตรวจดีเอ็นเอของญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 23 ราย และจะนำมาตรวจพิสูจน์ว่าร่างผู้เสียชีวิตรายใด เป็นของญาติของใคร
คืนศพให้ญาติได้แล้ว5ราย
ในประเด็นนี้ รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 2 วัน เพื่อให้ญาติรับศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป ในการตรวจพิสูจน์ว่าศพเป็นใครสามารถตรวจได้โดย 4 วิธีคือ
(1. )ญาติยืนยันจากสภาพทางกายภาพศพ ที่สามารถจำได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน (2.)การตรวจพิสูจน์จากลายพิมพ์นิ้วมือ (3.)การตรวจฟันและ (4) การตรวจ DNA ซึ่งในขณะนี้ สามารถตรวจพิสูจน์จากลายพิมพ์นิ้วมือได้อย่างชัดเจนแล้ว 5 ราย โดยการคืนศพให้ญาติรับไป ซึ่งในการส่งมอบคืนศพ ผู้เสียชีวิตให้กับญาติรับไป จะดำเนินการโดยคณะกรรมการคืนศพ ที่ พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิตผบช.ภ.7ได้แต่งตั้ง ขึ้นมา และทั้ง 5 ราย จะคืนให้ญาติรับศพไปดำเนินการทางพิธีศาสนาในวันนี้
เร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวคนตาย
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ยังได้กล่าวอีกว่า “เรื่องการพิสูจน์หาสาเหตุของการเกิดเหตุครั้งนี้ หรือ การดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการสืบสวนสอบสวน แต่การดำเนินการที่จำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่ง คือ การตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์จากร่างผู้เสียชีวิตว่า เป็นใครและเป็นญาติของครอบครัวใด เพื่อมอบศพให้ญาติได้นำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีและตำรวจควรจะต้องช่วยเหลือ ดูแล เยียวยา ฟื้นฟูสภาพจิตใจ ให้กับญาติของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อเป็นการบรรเทาความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำอย่างยิ่งมากกว่า ”
ให้ผู้การสุพรรณเปิดบัญชีช่วยเหลือ
ดังนั้นได้สั่งการให้ ผบช.สพฐ.ตร. และ ผบก.นต. รพ.ตร. เร่งรัดตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ศพให้เสร็จสิ้นภายใน 2 วัน เพื่อคืนศพให้ญาติรับไป และเสนอแนวคิดให้ ผบก.ภ.จว. สุพรรณบุรี เปิดบัญชี เชิญชวนข้าราชการตำรวจ มอบเงินช่วยเหลือตามความสมัครใจและความเหมาะสม เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้ที่สูญเสียคนอันเป็นที่รักไปในเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ต่อไป ”รอง ผบ.ตร.กล่าว“