วันที่ 15 ต.ค. 67เวลา 09.30 น.ณ บก.ปคบ. ถ.พหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจัตุจักร กทม.
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมเร่งรัดติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด และคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและมีผู้เสียหายจำนวนมาก
มีพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 4)(สส 2)
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดชผบช.ก. พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง
ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. / โฆษก ตร.พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม
รอง ผบช.ก.พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก.
พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์รอง ผบช.ก.พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.นพล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ
ผบก.ปคบ.พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอรอง โฆษก ตร.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ในการประชุมในครั้งนี้ เป็นการติดตามผลและรายงานความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด และคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ที่มีการติดตามยึดทรัพย์ของกลุ่มผู้ต้องหากว่า 700 ล้านบาท
ในวันนี้ได้รับแจ้งความและสอบปากคำผู้เสียหาย รวมทั้งสิ้น 989 ราย รวมความเสียหายประมาณ 350 ล้านบาท โดยได้กำชับให้พนักงานสืบสวนสอบสวนรวมรวบพยานหลักฐานทุกชนิดด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง เป็นธรรม และสามารตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้อำนวยความสะดวกผู้เสียหายที่มาแจ้งความร้องทุกข์ที่ บก.ป.
และเน้นย้ำให้พนักงานสอบสวนทุกท้องที่รับคำร้องทุกข์และทำการสอบสวนปากคำผู้กล่าวหาเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาและบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป
หลังประชุม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า มาตามความคืบหน้าการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งพอใจในการทำงานของตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีการตั้งทีมบริหารคดีขึ้น ตอนนี้การสอบสวนคืบหน้าไปมากทั้งการสอบปากคำผู้เสียหายและการตรวจค้นรวบรวมพยานเอกสารและวัตถุ ส่วนรายละเอียดที่ว่าจะออกหมายจับหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานที่เชื่อว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแต่ต้องรอบคอบรัดกุม
ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า อย่างที่เห็นว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาได้มาแสดงตน มีทนายความมาด้วย ตำรวจไม่ได้วิตกกังวลแต่ต้องทำคดีให้รอบคอบรัดกุม การจะขอศาลอนุมัติออกหมายจับจะพิจารณาต่อไปในอนาคตหลังการสอบ สวนครบทุกองค์ประกอบหากพบความผิดดำเนินการทันในเดือนนี้แน่
ทั้งนี้การมาแสดงตัวเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา พนักงานสอบสวนสอบปากคำไว้ฐานะผู้ต้องหาแต่ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา ส่วนเรื่องทรัพย์สินได้ทำหนังสือถึง ปปง. ตั้งแต่แรก เพราะเข้าใจความเดือดร้อนประชาชน แต่ตำรวจไม่มีอำนาจหน้าที่ยึดทรัพย์ ทราบว่า ปปง. จะนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการธุรกรรมวันที่ 17 ต.ค. ตำรวจรอฟังผลอยู่
ผบ.ตร.กล่าวต่ออีกว่า ส่วนรายละเอียดคดี ไม่สามารถเปิดเผยได้ ยืนยันจะทำเต็มความสามารถ ตอนนี้สอบสวนไปกว่า 900 คน มีผู้เสียหายมาลงทะเบียนเกือบ 1,100 คน รวมมูลค่าทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 400 ล้าน ดังนั้น การเดินหน้าเรื่องนี้จะทำเต็มที่ เพราะเข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้น เข้าใจประชาชนที่สูญเสียเงินทอง จะยืนเคียงข้าง ไม่ทอดทิ้ง ระดมพนักงานสอบสวนเกือบ 100 คนมาอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียหาย
ผบ.ตร.กล่าวย้ำว่า มีหนังสือวิทยุราชการแจ้งไป 3 ครั้งแล้ว กำชับให้ทุกสถานีตำรวจอำนวยความสะดวกรับแจ้งความเบื้องต้น ให้ บก.ปคบ.กำหนดประเด็นให้สอบปากคำ ฝากถึงพนักงานสอบสวนทุกพื้นที่ ถ้าไม่ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดแล้วมีพยานหลักฐานว่าไม่รับแจ้งความจะดำเนินการทางวินัยทั้งหมด ส่วนคดีนี้จะเข้าข่ายคดีพิเศษหรือไม่อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน หากเข้าข่ายยังมีเวลาดำเนินการ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องนักการเมืองที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ขอไม่เปิดเผย เพราะเป็นรายละเอียดในสำนวนแต่ยืนยันว่าหากมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องสนับสนุนธุรกิจนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายก็พร้อมที่จะดำเนินคดีทุกคนที่เกี่ยวข้องแม้แต่ตำรวจ ส่วนแม่ข่ายได้สอบสวนไว้เป็นพยานหากพบความผิดก็เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาไม่มีละเว้น
ตอนนี้ตำรวจทำงานยึดตามหลักกฎหมายเคียงข้างประชาชน หากจะฟ้องกลับไม่ต้องไปฟ้องผู้ใต้บังคับบัญชาให้ฟ้องตนคนเดียว แต่อยากให้มีสำนึกเรื่องที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาพบตำรวจมีทนายความมา แต่ผู้เสียหายไม่มีที่พึ่ง ไม่มีทนายความตำรวจนี่แหละคือทนายความผู้เสียหาย