สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็น ผบ.ตร.ใหม่มาบริหารงานดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชนทั่วประเทศตั้งแต่ตุลาคม 2567
แต่เนื่องจากปีนี้การแต่งตั้งระดับนายพลเล็กหรือที่ทราบกันคือ ตำแหน่ง ผู้การจังหวัดต่างๆ ผู้การสืบสวนและผู้การประจำหน่วยงานใน ตร.ล่าช้ากว่าที่เคยเป็นมาทำให้เกิดช่องว่าง
คดีอาชญากรรม เกิดขึ้นทั่วประเทศไม่ได้รอการแต่งตั้ง กลับทวีปัญหาความรุนแรงคดีต่างๆเกิดขึ้นมากมายตลอดเวลา
ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้หน่วยงานสืบสวนที่เรียก กองบังคับการสืบสวนทุกภาคเป็นไม้เป็นมือไว้ติดตามจับกุมคนร้ายในคดีสำคัญ
ทุกวันนี้งานสืบน่าจะดูเหมือนมีศักยภาพมากกว่างานป้องกันปราบปรามซึ่งในอดีตเคยเป็นงานลำดับต้นต้นของตำรวจไทย
กระแสการแต่งตั้งในปีนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการยึดหลักอาวุโสในส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะเป็นเรื่องความรู้ความสามารถ
ในระดับรองผู้บังคับการฯ ที่จะขึ้นรับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการ เรียกได้ว่ามีการวิ่งกันฝุ่นตลบ
แต่ด้วยกฎกติกาในการคัดเลือกบุคคลในปีการแต่งตั้งนี้ ผบ. ตร. ได้เข้มงวดอย่างมาก ตลอดทั้งคณะกรรมการ กตร. ซึ่งมีข้าราชการตำรวจในระดับอาวุโสไปดำรงตำแหน่งนั้นก็เรียกได้ว่าผ่านยากถ้าไม่ดีจริงๆ
มีข่าวในวงการตำรวจพื้นที่ พ.ต.อ.ระดับรองผู้บังคับการ วิ่งเต้นผ่านคนใกล้ชิดการเมือง
ข่าวว่าชื้อผลไม้วางไปแล้ว 10 กิโล
ผลปรากฏว่ากระสุนเข้าเป้ามีชื่อลงมาให้หน่วยจัดทำบัญชีเสนอ ความเหมาะสม ขึ้นไปเป็นผู้บังคับการ
ขณะนี้อยู่ระหว่างสำนักงานแห่งชาติเรียกประชุมบอร์ดเล็กก่อนที่จะนำเสนอบอร์ดใหญ่ในสัปดาห์หน้าซึ่งมีนายกรัฐมนตรีและกรรมการ กตร. ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายร่วมประชุม
มีข่าวหลุดว่าเจ้าตัววิ่งเต้นทราบว่ามีชื่อลงมาให้หน่วยจัดทำบัญชีทนไม่ไหวเก็บอาการไม่อยู่ออกอาการดีใจ
ป่าวประกาศตำรวจน้อยใหญ่ในพื้นที่ให้เตรียมตัวจะมาเป็นผู้การสืบสวนเนื่องจากคุมพื้นที่ทุกจังหวัดในหน่วยนั้นนั้น
แถมยังบอกว่าเมื่อมานั่งเก้าอี้ ต้องหาอีก 10
ลูกน้องได้ฟังยังเข้าใจว่าหากมาเป็นผู้การสืบ เจ้านาย จะให้หาผู้ต้องหาหมายจับวิสามัญสัก 10 ราย
ทุกคนดีใจกันยกใหญ่ได้เจ้านายสายสืบ อาชีพ มาแล้วโจรผู้ร้ายจะได้หมดไป
ที่ไหนได้แปลความหมายผิด ต้องหาผลไม้ อีก 10 กิโล เมื่อมาดำรงตำแหน่งให้ทุกคนช่วยกัน
วิสัยทัศน์ผู้การสืบ แบบนี้ แทบจะเป็นลมกันทั้งประเทศ
ผู้การสืบสวนในสมัยก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเป็นคนคัดเลือกเองทั้งหมด มีอยู่ประมาณ9 ภาคและ นครบาลรวมเป็น 10 บก.
ตั้งแต่ยุคผบ.แป๊ะ -จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ปั๊ด-สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.เด่น-ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ และผบ.ต่อศักดิ์ สุวิมล
ล้วนแล้วแต่หานายตำรวจฝีมือดี มีชื่อชั้นโชกโชนงานสืบสวนมาดำรงตำแหน่งผู้การสืบสวนทั่วประเทศ
เรียกได้ว่าเปิดชื่อออกมาทุกคนยอมรับกันหมด
ผลงานฝีไม้ลายมืองานของแต่ละคน สืบสวนคดีสำคัญก็ทยอยออกมาเรื่อย ฯ เป็นที่เชิดหน้า ชูตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บังคับบัญชาที่รับรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นรองผบ. ตรผู้ช่วยผบ. ตร และ ผู้บัญชาการ ภาค ต่างๆ
ที่สำคัญที่สุด การคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายในคดีอาญาต่างๆ
ต้องดูกันต่อไปว่าบัญชีรายชื่อผู้การสืบสวนที่จะเปิดออกมาเข้าที่ประชุมของคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะมีรายชื่อรองผู้การ 10 + 10 ขึ้นเป็นผู้บังคับการสืบสวน อยู่ในบัญชีนี้หรือเปล่า
บอกใบ้ให้กรรมการทั้งหลายทราบว่าคุณสมบัติผู้บังคับการสืบ 10 + 10
1. ไม่มีตำแหน่งในงานสืบสวนในปัจจุบัน
2. ไม่ได้อยู่ในบัญชีอาวุโสที่จะต้องได้เป็นผู้การอยู่ในบัญชีของความรู้ความสามารถ
3. ไม่มีชื่อชั้น ในวงการสืบสวน
4. ต้องการขึ้นตำแหน่งผู้การสืบสวนใน พื้นที่ ภาค ที่ตัวเองมีตำแหน่งอยู่
ก็ต้องรอดูผลการประชุมว่าคณะกรรมการจะผ่านตำแหน่งผู้การสืบสวน 10 + 10
หรือไม่
แต่ที่แน่แน่พลตำรวจเอกวินัย ทองสอง อดีตรองผบ.ตร. 1ใน ก.ตร.ไม่น่าจะผ่านแน่
เพราะสมัยท่านเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือ น. 1 เคยแต่งตั้งผู้กำกับสืบสวนนครบาล 1-9 ด้วยตนเอง โดยไม่ให้ฝ่ายอื่นฝ่ายใดวิ่งเต้น และคนที่ตั้งคนที่ท่านตั้งไปก็สามารถทำงานสืบสวนจับกุุมคดีสำคัญได้เป็นอย่างดี และคณะกรรมการ ฯท่านอื่นไม่แน่ว่าจะคิดเห็นอย่างไร
แต่มีข่าวแว่วแว่วมา 10 ที่ให้ไปแล้วยังเหลืออีก 10 ที่จะต้องเอาไปให้ผู้รู้เห็น จะไปให้ใครในวงการประชุมบ้างบ้างหรือเปล่าต้องรอชมกันไป
สุดท้าย ตำแหน่ง ผู้การสืบ 10 บวก 10 จะเป็นจริงหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อ
แอบสงสารก็แต่ ตำรวจทั้งหลายที่ก้มหน้าก้มตา ทำงานแบบชื่อสัตย์ สุจริต ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ก็เท่านั้นเอง