หญิงคนหนึ่งกับนักบวชมืออาชีพคนหนึ่ง มาพบกันบนโลกใบนี้ มีปฏิสัมพันธ์กันจนกระทั่งโลกทั้งผองรับทราบทั่วกัน
มันเป็นความผิดมหันต์ขนาดนั้นเชียวหรือ
ทั้งที่เป็นพฤติกรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยธรรมชาติ ที่อุดมไปด้วยกิเลสตัณหา โลกีย์
นักบวชผู้ได้รับโอกาสที่ดีกว่ามนุษย์อีกหลายระดับชั้น นั้นนับว่าผิดนั้นแน่นอน เพราะมีกฎระเบียบกำกับอย่างเคร่งครัดไว้อยู่แล้วย่อมตระหนักรู้ว่าการกระทำของตนผิดขั้นไหน
แต่สำหรับปุถุชนอย่างผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าจะนับว่าผิดก็อยู่ตรงผิดศีลห้า เพียงแต่ว่าในทางโลก ไม่มีกฎหมายกำหนดบัญญัติให้ว่าผิดมาตราไหน
ใครเป็นคนชี้ขาดตัดสินว่าเธอผิด เธอทำร้ายใคร ผิดกฎหมายตรงไหน
แต่ในสังคมที่เต็มไปด้วยชนเผ่าที่รู้กฎหมายเพียงผิวเผิน แต่อยากเป็นผู้ตัดสินชี้ชะตาพิพากษาผู้อื่น หรือเหยื่อว่ากระทำความผิดที่ร้ายแรง ทำให้สังคมเสื่อมทรามเสียหาย ศาสนามัวหมอง
อะไรคือความผิด ในแง่มุมของกฎหมาย ที่ผิดระเบียบสังคม
ลองอรรถาธิบายสิว่า หญิงคนนี้ เธอไปละเมิดบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ เป็นผู้ต้องหาคดีอะไร
เปล่าเลยใช่ไหม…
มันก็แค่พฤติกรรมส่วนตัวของเธอเอง ไม่ได้ไปกระทำให้สังคมเสียหาย ไม่มีใครได้รับความเสียหาย
ชายผู้ที่อ้างว่าเป็นสามี ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นคู่สามีภรรยา และเป็นผู้เสียหายอย่างไร
แต่การนำภาพเคลื่อนไหวออกมาเผยแพร่นั้นมันก็คือการกระทำผิดกฎหมายครบถ้วนชัดเจนอยู่แล้ว
การหมิ่นประมาทให้ได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียงและเป็นที่อับอายต่อสาธารณชนแม้จะเป็นความจริงก็ตาม มีในบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญามิใช่หรือ
สังคมที่เต็มไปด้วยคนดีปากถือศีลกินมังสวิรัติ แท้จริงแล้วเป็นสังคมที่ “ล่าเหยื่อ” พร้อมที่จะชี้นำว่าใครเป็น “กระสือ” แล้วตามไล่ล่าให้ต้องหลบลี้หนีหายไปจากสังคม ทั้งที่พฤติการณ์ของกลุ่มชนในสังคมนั่นเองคือ “กระสือ” ตัวจริง
มองแค่สื่อมวลชนรวมไปถึงสื่อปัจเจกชน สื่อออนไลน์ทั้งหลาย ที่มีปฏิกิริยาต่อ “กรณีฉาว”นี้ ทุกสื่อร้อยทั้งร้อย พร้อมที่จะพุ่งคมหอกคมดาบใส่ “หญิงชาย”คู่นี้อย่างไม่ปรานีปราศรัย
เดิมชื่นชมยกย่องกันว่าเป็นเหยี่ยวข่าว แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ น่าจะเรียก “แร้งข่าว”มากกว่า
ส่วนที่เรียกขนานตัวเองว่า “แมลงวัน” นั้นใกล้เคียงอยู่แล้วเพราะแมลงวันมักรุมตอมสิ่งเน่าเหม็นเป็นธรรมชาติและชาติธรรม
เราเห็นความอัปลักษณ์อัปยศคดคิดฟุ้งไปทั่วจากข่าวนี้
สื่อโซเชียลท็อกซิกซ์บางเจ้า อ้างว่าต้อง “กระชากหน้ากาก”ของหญิงและชายมาตีแผ่ประจาน
ไม่พอ.. ยังเหิมลำพองขนาดข่มขู่ออกมาต่อสาธารณะหรือแบล็กเมล์ ว่าจะเปิดคลิปเสียง ถ้าไม่ยอมศิโรราบคาบแก้ว
แม้แต่สื่อหลักบางสื่อที่น่าจะยึดมั่นใน “จรรยาบรรณ” ยังใช้เล่ห์เพทุบายเลี่ยงกฎหมายเลี่ยงบาลี
โพสต์เสนอเรื่องราวของหญิงคนนี้ขึ้นมาอย่างลอย ๆ เพื่อเลี่ยงว่าไม่เกี่ยวกับข่าว แต่การเสนอให้สาธารณะเห็นภาพตัวตนทั้งชื่อ นามสกุล ในเชิง “ประจาน”ไม่คำนึงถึงความเสียหายของบุคคลอีกหลายคนที่ใช้นามสกุลนั้น ๆ
สิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นการ “ละเมิดบุคคลอื่น” เลยหรือ
พฤติกรรมเช่นนี้ มันฟ้องว่า สื่อช่างน่ากลัวน่าขยะแขยงเหมาะสมที่จะเรียกว่า “แร้งข่าว”จริง ๆ
หากคิดจากกระชากหน้ากากเหยื่อ เหมือนทึ้งซากเน่าของสัตว์ที่ล้มตาย สื่อต้องใจกล้า ๆ เปิดหน้าตัวเองให้เห็นโฉมก่อนด้วย
นี่ยังไม่นับพวกโลกียชนอีกหลายกลุ่ม ที่พร้อมจะ “รุมขย้ำ”เหยื่อที่พลาดพลั้งไปอย่างเมามัน
ไม่ว่าพวกถือคัมภีร์ ทนายความ นักวิชาการ นักวิจารณ์สังคมนักบวช พวกคนดีทั้งหลายเหล่านี้แหละ
น่าเศร้าใจที่ “สังคม”วันนี้ เราตกอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่น่ากลัวกว่าเผชิญ “ภัยสังคม”เพราะภัยสังคม เรายังมีโอกาสต่อสู้
แต่นี่มันคือ “สังคมภัย” เดนเจอรัส โซเชียล สังคมที่เต็มไปด้วย “นักล่าแม่มด” หมดจากเรื่องนี้ ก็ล่าเหยื่อตัวใหม่ต่อไป ลองคิดดูว่าหากคนในครอบครัวตนหรือตัวเองพลาดพลั้งลงไปเหมือนหญิงคนนี้ จะรับมือได้หรือไม่
อย่าลืมว่ามนุษย์ความหมายไม่ได้เกินกว่าคำว่า “กิน กาม เกียรติ” จะแถม “แก่ โกง กุุ๊ย กาก….”อะไรเติมได้ตามใจชอบ
ดอนรัญจวน 12/4/2567