Wednesday, December 18, 2024
More
    Homeข่าวเด่นรอบวัน“รองนพศิลป์”แถลงแสดงความเสียใจและพร้อมช่วยเหลือเหยื่อบาทา7ตำรวจจราจรกลางเต็มที่

    “รองนพศิลป์”แถลงแสดงความเสียใจและพร้อมช่วยเหลือเหยื่อบาทา7ตำรวจจราจรกลางเต็มที่

    กรณีน.ส.ธนัชตา เกิดศรี อายุ29 ปี เข้าพบ พงส.บก.ปปป.เพื่อปรึกษาข้อกฎหมายเอาผิดตำรวจจราจรกลางประจำด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ 7 นาย รุมทำร้ายนายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี พี่ชายจนบาดเจ็บสาหัส

    ก่อนหน้านี้ช่วงเวลา02.00 น.คืนวันที่ 4 ธ.ค.พี่ชายขับรถยนต์มาสด้า สีแดงเข้าด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ บนถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร  ไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์

    แต่พอออกจากด่านไม่เกิน 500เมตร มีตำรวจขี่จยย. 3 คันและรถกระบะ 1 คัน ตามประกบบังคับให้ลงจากรถบริเวณริมถนนประเสริฐมนูกิจก่อนถึงตึก RSบอกว่าขับรถแหกด่านตรวจ  พี่ชายปฏิเสธจึงขัดขืนแต่ถูกตำรวจใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตเตะเข้าที่ก้านคอ ใบหน้าและลำตัวจนเลือดอาบหน้า คอนแทคเลนส์หลุดแล้วควบคุมตัวกลับมาที่ด่าน

    เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ด่านถึงพบว่าไล่รถผิดคันกระทืบผิดคน อ้างว่ารถลักษณะคล้ายกันพร้อมขอโทษจากนั้นนำตัวส่งรพ. หลังญาติทราบเรื่องแจ้งความที่สน.บางเขน ดำเนินคดี

    น.ส.ธนัชตาระบุว่า ตำรวจ บก.ปปป. แนะนำให้แจ้งข้อหาเพิ่มตามความผิด ม.157และกักขังหน่วงเหนี่ยว ทั้งนี้ตนและน้องมีพ่อเป็นอดีตตำรวจเกษียณราชการ ยศพ.ต.ท.สังกัด บก.ปทส. ด้วย

    พ่อ-น้องสาวเหยื่อชี้จุดยำ

    ความคืบหน้าเรื่องนี้เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่5 ธ.ค.67 พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อดีตพนักงานสอบสวนบก.ปทส. และน.ส.ธนัชตา เกิดศรี พ่อและน้องสาวนายธนานพ เกิดศรี ผู้บาดเจ็บเข้าพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวน สน.บางเขน ก่อนเดินทางไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรกลางตั้งด่าน เป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้ที่ข้างทาง หลังก่อเหตุรุมทำร้าย เพื่อตรวจสอบดูว่ารถผู้บาดเจ็บเป็นคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่  

    อาการยังน่าห่วงมีเลือดออกในตาขาว

    น.ส.ธนัชตาเผยว่า อาการพี่ชายตอนนี้ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมดโดยเฉพาะบริเวณดวงตามีเลือดออกที่ตาขาวการมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายยังมีร่องรอยการฟกช้ำจากการทำร้าย แต่ยังโชคดีไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

    น้องสาวลั่นดำเนินคดีถึงที่สุด

    เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนก็พร้อมจะต่อสู้เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายไปคนเดียวไม่มีอาวุธ แต่ฝั่งคู่กรณีเป็นถึงตำรวจ มีด้วยกัน7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องรีบเดินทางมาที่ด่านตรวจทันทพยายามสอบถามว่าตำรวจคนใดเป็นคนทำแต่ไม่ได้รับคำตอบเอาแต่ก้มหน้า

    ท้า7ตำรวจด่านเมากล้าเปิดกล้องมั้ย

    น.ส.ธนัชตายังฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ได้พยายามที่จะขอดูแต่อ้างว่ากล้องเสียบ้างเปิดไม่ได้บ้าง อยากจะฝากถึงตำรวจตั้งด่านวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยเพื่อยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นย้ำว่า”อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า“

    ย้ำไม่ขอรับกระเช้าผลไม้เยี่ยม

    เมื่อวานนี้มีกระเช้าผลไม้ – ดอกไม้ปริศนา ไม่รู้ว่าเป็นของใครตำรวจหน่วยหรือสังกัดใดบ้างนำเข้ามาเยี่ยม อยากจะขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้าใดใดทั้งสิ้นเพราะไม่รู้ว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง ได้แจ้งย้ำกับพยาบาลที่ดูแลแล้วของดเยี่ยมทุกกรณี

    พ่อสุดช้ำเป็นอดีตตำรวจบก.จร.ด้วย

    ขณะที่พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี พ่อคนเจ็บเปิดเผยว่า ในฐานะเคยเป็นอดีตตำรวจบก.จร.มาก่อนไปอยู่ บก. ปทส. ปกติตำรวจมีขั้นตอนใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพันธนาการอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุแบบนี้ ถึงผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวางตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรุมทำร้ายร่างกาย จะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด

    การจับกุมต้องแสดงตัวเป็นตำรวจพร้อมแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิดจากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาภายหลัง

    ไม่ขอไกล่เกลี่ยแม้นายจะลงมาคุย

    เหตุที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตาให้ตลอด ยืนยันเช่นเดียวกับลูกสาวจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ยถึงแม้จะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม  

    พงส.ยังสอบเหยื่อไม่ได้เพราะสาหัส

    ด้าน พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน กล่าวว่า พนักงานสอบสวนสอบปากคำน้องสาวและแม่นายธนานพ เกิดศรี ผู้บาดเจ็บไว้ในฐานะพยานส่วนคนเจ็บแพทย์ไม่อนุญาตให้เข้าไปสอบปากคำ เพราะอาการยังสาหัส

    ส่วนผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์กลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

    “รองนพศิลป์”ยืดอกแถลง

    ต่อมาเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.3 และ พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร รอง ผบก.จร.ร่วมแถลงถึงกรณีดังกล่าว

    รับไม่ช่วยเหลือผู้กระทำผิด

    พล.ต.ต.นพศิลป์กล่าวว่า จะให้ความเป็นธรรมโดยยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นจะไม่ช่วยเหลือตำรวจที่ร่วมกระทำความผิดทั้ง 7 นาย ผลสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรม การตรวจสอบวินัยร้ายแรงของบก.จร.พบว่ามีมูลสอดคล้องกับที่ญาติผู้เสียหายให้ข้อมูล รวมถึงผู้ก่อเหตุทั้ง 7 คนรับสารภาพ

    คุมตัวไปดำเนินคดีที่บางเขน

    เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาทั้ง 7 คนได้คุมตัวไปมอบตัวกับสน.บางเขน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายแก่กายและใจ ส่วนข้อหาอื่นๆหากตรวจสอบพบจะดำเนินคดีเพิ่ม

    ถึงฝ่าด่านก็ไม่มีสิทธิ์รุมทำร้าย

    รองผบช.น.กล่าวยืนยันอีกว่า จะไม่ปกป้องช่วยเหลือหรือทำให้คดีบิดเบี้ยวอย่างที่สังคมตั้งข้อสังเกต จะทำคดีตรงไปตรงมาเพราะคดีนี้ข้อเท็จจริงมีเพียงอย่างเดียวประกอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากความผิดพลาดของตำรวจทั้ง 7 นายที่ไม่ตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบว่ารถที่แหกด่านเป็นรถผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่ แม้ว่าหากผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นผู้ที่ขับรถฝ่าด่านจริงตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์กระทำการลักษณะดังกล่าว 

    ตอบข้อสงสัยเรื่องมีนอกเครื่องแบบร่วม

    ส่วนประเด็นที่ทุกคนสงสัยว่าตำรวจทั้ง 7 นายทำไมมี 4 นายที่แต่งนอกเครื่องแบบ พล.ต.ต.นพศิลป์ อธิบายว่าช่วงดังกล่าวมีการตั้งด่านกวดขันวินัยการจราจรของตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.)ขณะนั้นมีตำรวจประจำด่านทั้งหมด 15 นาย ระหว่างนั้นพบรถที่มีปัญหาเมาแล้วขับได้เชิญตัวเข้าด่านแต่คนขับรถได้ขับรถฝ่าด่านออกไปอย่างรวดเร็ว

    คนเจ็บผ่านด่านเมาก่อนคนก่อเหตุ5นาที

    ก่อนหน้านั้นเพียง 5 นาที ผู้บาดเจ็บได้เข้าด่านตรวจเพื่อวัดระดับแอลกอฮอล์ 3 ครั้ง ตามขั้นตอนและไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด แต่รถไม่ติดแผ่นป้ายภาษีได้ว่ากล่าวตักเตือนและปล่อยตัวไป 

    รถแหกด่านยี่ห้อและสีรุ่นเดียวกัน

    พล.ต.ต.นพศิลป์กล่าวอีกว่า หลังผู้ต้องสงสัยเมาแล้วขับซึ่งขับรถยนต์ที่มีลักษณะเหมือนกันกับผู้เสียหายขับรถแหกด่านออกไป ตำรวจในด่านได้ตะโกนไปว่ามีรถแหกด่านเป็นรุ่นและสีเดียวกับรถผู้เสียหาย

    ตำรวจทั้ง 7 นาย ประกอบด้วยนอกเครื่องแบบ 4 นาย ออกเวรแล้วแต่ยังอยู่ในจุดดังกล่าว และในเครื่องแบบ 3 นาย ที่ยังอยู่ในเวลาเวรได้สมัครใจขับรถตามรถผู้ต้องสงสัยไปหลังจากนั้นก็เป็นไปตามข้อมูลที่ญาติผู้เสียหายระบุ

    ยืนยันตำรวจมียุทธวิธีดำเนินการจะเริ่มจากพูดคุยด้วยวาจา หากพบพฤติการณ์ของฝ่ายตรงข้ามมีแนวโน้มจะใช้กำลังจะพิจารณาตามสัดส่วน

    ฝากแสดงความเสียใจไปยังครอบครัว

    ขอแสดงความเสียใจและฝากไปถึงครอบครัวผู้บาดเจ็บว่ากองบัญชาการตำรวจนครบาลรวมทั้งผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมช่วยเหลือผู้เสียหายเต็มที่ เพิ่งทราบว่าผู้เสียหายเป็นลูกตำรวจเช่นเดียวกันแต่ไม่ว่าจะเป็นลูกตำรวจหรือคนธรรมดาก็ไม่ควรเกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้น

    จ.1ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง

    ขณะที่พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผบก.จร. เปิดเผยว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง  พร้อมมีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 7 นายหยุดปฏิบัติหน้าที่จากหน้าที่เดิมให้มาปฎิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการจราจร เพื่อรอผลตรวจสอบข้อเท็จจริง

    เบื้องต้นยอมรับว่าตำรวจทั้ง 7 นาย ได้ติดตามควบคุมตัวผู้ขับรถยนต์คันหนึ่งที่ขับฝ่าด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ใก่อนพบรถยนต์ที่มีลักษณะคล้ายกันตำรวจจึงเข้าควบคุมตัว แต่ผู้ขับขี่มีท่าทีขัดขืนทำให้ต้องใช้กำลังควบคุมตัวก่อน

    ทราบภายหลังว่าจับผิดคัน หลังเกิดเหตุนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลพร้อมขอโทษ แต่ญาติผู้บาดเจ็บไม่ขอยอมความจึงเข้าแจ้งความตำรวจ สน.บางเขน เป็นสิทธิ์ผู้เสียหายว่าไปตามกฎหมาย

    สั่งย้าย7หัวปิงปองเข้ากรุศปก.บก.จร.

    มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้เซ็นคำสั่งให้ตำรวจจราจรทั้ง 7 นาย ทั้งหมดสังกัดกก.1 บก.จร. ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศปก.จร.ทันทีตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.ประกอบไปด้วย  ร.ต.อ. ทวีพงษ์ อืดทุม ส.ต.อ.วัชรวี ทวีบุรุษ ส.ต.อ.วีระพงศ์ มะณี  ส.ต.อ.ปพนธีร์ เลิศอนันต์  ส.ต.อ.กีรติ ประสพโชค ส.ต.ท.ณัฐพงษ์ ดุษฎี  ส.ต.อ.จักรินทร์ ใคร่ครวญ

    เบื้องต้นทั้งหมดชี้แจงอ้างว่า ขณะตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์มีรถเก๋งมาสด้าสีแดงฝ่าด่านตรวจได้ติดตามไปจับกุม จนพบรถเก๋งมาสด้าสีแดงไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนผู้เสียหายจึงเข้าจับกุมคิดว่าเป็นรถคันที่ฝ่าด่านหลบหนี

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments