Sunday, November 24, 2024
More
    Homeเรื่องสั้น-วรรณกรรมวรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์”ตอน13

    วรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์”ตอน13

    ตอน 13

    ผมเดินไปตลอดทางจนถึงโรงแรม

    ผ่านตึกแถวถึงสี่สิบเอ็ดคูหา ผมไม่ชอบทำอย่างนี้หรอก แต่รู้สึกอยากจะเดินเท่านั้นเอง ยิ่งกว่านั้นผมไม่อยากรู้สึกแบบเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงแท็กซี่อีก บางครั้งคุณก็เบื่อหน่ายที่จะนั่งแท็กซี่ในแบบเดียวกับขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์นั่นแหละ

    ในท้นใดที่คุณต้องเดินไม่ว่าระยะทางจะไกลแค่ไหน หรือจะเดินขึ้นสูงแค่ไหนก็ตาม ตอนที่ยังเป็นเด็กผมเดินขึ้นอพาร์ตเมนต์บ่อยไป สูงตั้งสิบสองชั้นแน่ะ

    ตอนนั้นคุณแทบไม่รู้ว่าหิมะโปรยปรายมาแล้ว แทบไม่มีหิมะบนฟุตปาท แต่มันเย็นยะเยือกจัง ผมดึงหมวกล่าสัตว์ที่อยู่ในกระเป๋าออกมาสวม ผมไม่สนหรอกว่าท่าทางจะดูยังไง ปลดที่บังใบหูลง ผมอยากรู้จังว่าใครเป็นคนเอาถุงมือของผมไป เพราะว่ามือของผมชักจะแข็งแล้ว  

    เท่าที่รู้ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักหรอกเรื่องนี้  ผมเป็นพวกไม่สู้คน  แต่ผมก็ไม่แสดงให้เห็นหรอก เป็นอย่างนั้นจริงๆ  

    อย่างเช่นถ้าผมรู้ว่าใครขโมยถุงมือของผมที่เพนซี่  ผมก็อาจจะลงไปที่ห้องของไอ้คนนั้นแล้วพูดกับมันว่า

     “โอเค ว่าไงจะคืนถุงมือมาดีมั้ย”  

    ต่อจากนั้น เจ้าคนขี้โกงที่ขโมยถุงมือไปก็อาจจะตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อบริสุทธิ์ว่า  “ถุงมืออะไรล่ะ”  

    จากนั้นผมก็จะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า  ค้นหาถุงมือ  ซุกซ่อนไว้ในกล่องรองเท้าหรือที่ไหนสักแห่ง  ผมก็จะหยิบออกมาให้มันดูและบอกว่า

     “กูว่านี่คงไม่ใช่ของมึงหรอกนะ

     แล้วไอ้เจ้าหัวขโมยจะไม่ยอมรับ ท่าทางยังคงดื้อตาใส  บอกว่า  

    กูไม่เคยเห็นถุงมือคู่นี้มาก่อนเลยในชีวิตว่ะ ถ้ามันเป็นของมึง ก็เอาไปสิ  กูไม่อยากได้ของห่วยแบบนี้หรอกว่ะ”  

    มก็จะยืนเงียบนิ่งสักห้านาที โดยที่ผมได้ถุงมือของผมกลับคืนมาแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าน่าจะอัดสักเปรี้ยงเข้าที่ขากรรไกรไอ้หมอนัน เอาให้แตกหักไปเลย เพียงแต่ผมไม่กล้าจะทำอย่างนั้น  

    ผมได้แต่ยืนจ้องเขม็ง  สิ่งที่ผมจะทำคงพูดด้วยน้ำเสียงห้วนแบบโกรธบ้างเล็กน้อย ยั่วให้มันโมโหบ้าง  แทนการชกเปรี้ยงทีกรามมัน  อย่างไรก็ตามถ้าผมพูดอย่างขึ้งขังเอาจริง  มันก็อาจปรี่เข้ามาหาผมและตะคอกว่า

    ฟังนะพวก คอลฟีลด์มึงเรียกกูว่าไอ้ขี้โกงเหรอ

    จากนั้นแทนที่จะตอบ  “ถูกแล้ว  มึงมันไอ้บัดซบขี้โกง”  สิ่งที่ผมจะพูดอาจเป็นว่า “เท่าที่รู้ก็ถุงมือของกูมันอยู่ในกล่องรองเท้าของมึงนะก็เท่านั้นเอง

     ไอ้หมอนั่นก็ไม่แน่ใจว่าผมจะไม่ชกมันหรอก  แล้วผมก็จะตอบไปว่า  “ไม่มีใครว่าใครขโมยซักหน่อยเลยนะ  เท่าที่กูรู้ก็แค่ถุงมือกูอยู่ในกล่องรองเท้าของมึง”  

    มันก็จะโต้ไปโต้มาแบบน้้นไปเรื่อย นานเป็นชั่วโมงก็ได้  ในที่สุดผมก็จะผละไปโดยไม่ซัดมันสักเปรี้ยงหนึ่ง  ผมก็จะลงไปที่ห้องน้ำ อัดบุหรี่แทน แล้วดูสภาพตัวเองหน้ากระจก  นี่แหละที่ผมคิดระหว่างเดินกลับโรงแรม มันไม่ค่อยสนุกที่เป็นไอ้ขี้ปอด  ผมไม่รู้สิ  คิดว่าอาจจะก้ำกึ่่งระหว่างไอ้คนขี้ปอดกับคนไม่แยแสอะไรนัก   ถ้าเสียถุงมือไปสักคู่  

    สิ่งที่แย่ของผมคือไม่สนใจอะไรนักถ้าจะมีอะไรหายไป  มันทำให้แม่ผมแทบคลั่งตอนผมยังเล็ก บางคนใช้เวลาเป็นวันค้นหาของบางอย่างที่หายไป  ส่วนผมดูไม่ใช่แบบถ้าของหายไปผมจะหาให้ควั่กทั้งวัน  

    อย่างนี้กระมังที่ผมเป็นพวกขี้ปอด  ไม่ต้องโทษอะไร

    มันไม่ใช่หรอก สิ่งที่คุณเป็นนั้นมันไม่ใช่ขี้ปอดหรอก ถ้าคุณคิดจะอัดเข้ากระโดงคางใครสักคน คุณก็อัดเข้าให้เลย  ผมเพียงแต่ไม่เหมาะที่จะทำอย่างนั้น   ผมควรจะลากไอ้นั่นออกไปโยนทางหน้าต่าง  แล้วสับด้วยขวานให้หัวขาดกระเด็นมากกว่าแค่ชกตรงกรามนั่น  

    ผมเกลียดการชกต่อย  ผมไม่กลัวถูกชกหรอก   เพียงแต่ไม่ชอบเท่านั้นเอง  

    แต่ที่ทำให้ผมกลัวมากในเรื่องชกต่อยก็คือใบหน้าของคู่ต่อสู้  ผมทนดูใบหน้าคู่ชกไม่ได้หรอก นั่นแหละเป็นเรื่องลำบากใจมาก   มันไม่แย่อะไรนัก  ถ้าคุณกับคู่ต่อสู้ถูกผูกผ้าปิดตาเอาไว้   มันคงตลกน่าดูสำหรับพวกขี้ขลาดตาขาว  เมื่อมาคิดถึงเรื่องนี้  มันช่างเป็นเรื่องเก่าโบราณเหลือเกิน  

    ผมไม่ได้หลอกตัวเองนะ ยิ่งนึกถึงถุงมือของผมและความขี้ขลาด  ผมยิ่งหดหู่ใจ  

    เลยตัดสินใจระหว่างเดินกลับแวะที่ไหนสักแห่งแล้วดื่มเหล้าสักนิด  ผมดื่มแค่สามแก้วที่คลับเออร์นี่  แก้วสุดท้ายยังเหลืออยู่ด้วย  

    มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความสามารถพิเศษคือผมสามารถดื่มเหล้าได้ทั้งวัน   ไม่แสดงให้ใครเห็นได้ตลอดทั้งคืน  และไม่มีใครเห็นผมออกอาการเมาเหล้า   ถ้าผมมีอารมณ์อยากจะดื่มน  

    ครั้งหนึ่งที่โรงเรียนลูตัน ไอ้เรมอนด์ โกลด์ฟาร์บ กับผมซื้อเหล้าสกอตมาหนึ่งไพน์ แล้วแอบไปดื่มในโบสถ์  ในคืนวันเสาร์ที่ไม่มีใครเห็นเรา มันมีอาการมึนเมาชัดแต่ผมแทบจะมองไม่ออกว่าเมา ผมมีท่าทางสบาย  ๆ  แค่พะอืดพะอมอยู่ก่อนกลับไปนอน  บังคับตัวเองสะกดกลั้นอาเจียนได้ด้วย

    อย่างไรก็ตามก่อนที่ผมจะไปถึงโรงแรม  ผมแวะเข้าไปในผับที่ดูทึมซึมเซา  มีชายสองคนเดินออกมา  ท่าทางเมาสะเงาะสะแงะถามว่าสถานีรถไฟใต้ดินอยู่แถวไหน  คนหนึ่งท่าทางเหมือนคนคิวบา  กลิ่นเหล้าหึ่งตลบใบหน้าผม   ขณะที่ผมชี้ทางไปสถานีรถใต้ดิน  ผมเลยตัดใจว่าไม่เข้าไปนั่งในผับนั่นหรอก  แล้วก็กลับโรงแรมเล

    บริเวณล็อบบี้ว่างเปล่า  ยังคงมีกลิ่นซิการ์อบอวลคละคลุ้ง ตอนนั้นยังไม่ง่วงเลย  เพียงแต่รู้สึกมึนเท่านั้น  จิตใจช่างห่อเหี่ยวยังไงไม่รู้ เหมือนอยากตายไปให้พ้นๆ เสียเลย

    แล้วผมก็เจอเรื่องยุ่งยากลำบากใจขนานใหญ่แล้ว

    เบื้องแรกตอนที่เข้าไปในลิฟต์  พนักงานประจำลิฟต์ถามผมว่ามันไม่ดึกเกินไปหน่อยสำหรับคุณหรือครับ

    คุณหมายความว่ายังไงครับ”  ผมตอบโดยไม่เข้าใจว่เขาหมายถึงอะไร

    สนใจหาสาวสักคนมั้ยล่ะคืนนี้

    ผมเหรอ”  ผมตอบด้วยคำถาม ฟังสุดซื่อบื้อ  แต่มันก็น่าขัดเขินเหมือนกันที่ใครมาถาคุณด้วยคำถามแบบนี้

    อายุเท่าไหร่แล้วล่ะลูกพึ่  คนเฝ้าลิฟต์ถาม

    ทำไมเหรอ”  ผมพูด  “ยี่สิบสองแล้ว

    อะฮะ เอ้อ__ว่าไงล่ะ  สนใจหรือเปล่า ห้าเหรียญชั่วคราว  สิบห้าเหรียญค้างคืน”  เขามองนาฬิกาข้อมือ  “ถึงบ่ายเลย  ห้าเหรียญชั่วคราว  สิบห้าเหรียญยันเช็กเอาต์

    โอเค”  ผมตอบตกลง  

    มันผิดหลักการของผมอย่างสิ้นเชิง แต่ผมกำลังรู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างสุด ๆ  เลยไม่แม้แต่จะตระหนักถึงหลักการอะไร  นั่นแหละมันเลยกลายเป็นยุ่งยากทั้งหมดของผม  เมื่อคุณรู้สึกห่อเหี่ยวใจ  คุณมักไม่คิดถึงอะไรเลย

    โอเคอะไรล่ะ ชั่วคราวหรือค้างคืนยันบ่าย บอกหน่อย

    ชั่วคราว

    ได้เลย__คุณพักห้องไหน

    ผมเหลือบดูแผ่นสีแดง ๆ  มีหมายเลขห้องพักอยู่บนกุญแจของผม  “12-22” ผมบอก  ชักเสียใจที่ปล่อยให้เหตุการณ์เลยตามเลย  มันสายไปแล้วล่ะตอนนี้

    โอเค ผมจะส่งเด็กไปหาคุณภายในสิบห้านาที”  เขาเปิดประตูแล้วออกไป

    นี่เธอหน้าตาพอดูได้หรือเปล่า”  ผมถาม  “ผมไม่เอาสาวแก่นะ

    ไม่แก่หรอก  ไม่ต้องห่วงหรอกน่าลูกพี่

    แล้วผมจะจ่ายค่าตัวกับใครล่ะ

    ที่ผู้หญิงเลย”  เขาตอบ  “ตามสบายเลยครับลูกพี่”  เขาปิดประตูทันใด

    ผมไปถึงห้องพัก แล้วเอาน้ำพรมลงบนผม  แต่ก็หวีให้เรียบไม่ได้  แล้วก็ทดสอบว่าลมหายใจมีกลิ่นบุหรี่หรือกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ดื่มมาจากคลับเออร์นี่หรือไม่  โดยคุณทำได้ด้วยการยกมือป้องปาก  แล้วหายใจออกทางจมูกแรง ๆ  

    มันไม่ค่อยมีกลิ่นมากนัก  แต่ผมก็ต้องแปรงฟันอยู่ดี  แล้วก็สวมเสื้อเชิ้ตสะอาดอีกตัว  ผมรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเท่อะไร ในการพบเจอผู้หญิงกลางคืน  แต่มีอะไรที่ทำให้ผมต้องจัดการกับตัวเองบ้าง  คงเพราะรู้สึกตื่นเต้นกระมัง  ผมอยากให้ตัวเองดูมีเสน่ห์เซ็กซี่บ้าง  แต่ถึงอย่างไรก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี

     ถ้าอยากรู้ความจริง  ผมน่ะบริสุทธิ์ทั้งแท่งนะ  เรื่องจริงนะ ผมมีโอกาสน้อยที่จะเปิดบริสุทธิ์ แต่ผมก็ยังไม่เคยเลย  

    บางเรื่องมันเกิดขึ้นได้บ่อยอย่างถ้าคุณที่บ้านของเพื่อนสาว พ่อแม่ของเธอมักจะกลับบ้านผิดเวลาเสมอล่ะ  หรือคุณก็อาจจะกลัวไปเองว่าพ่อแม่ของเพื่อนสาวจะกล้บมาแล้ว  หรือไม่ถ้าหากคุณอยู่ที่เบาะหลังรถของใครก็ได้สักคน  มักมีคู่เดตของบางคนที่อยู่ตรงเบาะหน้า   พวกผู้หญิงนั่นแหละ  ที่มักสอดรู้สอดเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในรถ  

    ผมหมายถึงผู้หญิงที่อยู่เบาะหน้ามักจะเหลียวมามองดูว่าเกิดอะไรขึ้นนะ   มันเกิดขึ้นเสมอแหละ  ผมเกือบจะได้มีโอกาสอย่างนั้นสักสองสามครั้งแล้ว 

    ครั้งหนึ่งผมจำได้ว่าเกิดผิดพลาดบางอย่างจนผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรอีก

    เรื่องมันอยู่ที่ว่าเกือบทุกทีเมื่อถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มกับสาวๆ  แน่นอนต้องไม่ใช่พวกหญิงกลางคืน  เธอมักจะบอกว่าหยุดก่อน  ซึ่งมันแย่สำหรับผมก็ตรงที่ดันเชื่อหยุดตามคำขอร้องของเธอ  ขณะที่ผู้ชายอื่นไม่มีวันหรอก  

    ผมทำอะไรไม่เป็นเลยล่ะ  คุณไม่รู้หรอกว่าเธออยากให้คุณหยุดจริงหรือเปล่าน่ะสิ  หรือเพียงเพราะคุณแหยงเกินไป หรือเธอเพียงแค่บอกให้หยุด  ถ้าคุณขืนดึงดันทำต่อไป  คุณก็จะเป็นฝ่ายถูกประณาม  ไม่ใช่เธอ  อย่างไรก็ตามผมก็หยุดแล้วแหละ

     สิ่งที่แย่ก็ตรงที่ผมยังขอโทษเธออีก  

    ผมหมายถึงว่าผู้หญิงส่วนมากมักทึ่ม  หลังจากคุณให้ความสนิทสนมกับเธอสักครู่  คุณก็จะเห็นความไม่เข้าท่าของเธอ  คุณจะได้เธอเมื่อเธอมีแรงปรารถนามากเธอไม่มีสมองนักหรอก ไม่รู้สินะ  พวกเธอจะบอกให้ผมหยุดทุกที  ผมก็เลยหยุด ผมได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นตอนที่พาพวกเธอไปที่บ้าน แต่ผมก็เจออย่างนั้นทุกที

    อย่างไรก็ตามผมยังเดินไปมาทั่วห้อง  รอคอยการปรากฏตัวของผู้หญิงคนหนึ่ง  หวังใจเล็กว่าเธอคงมีสัดส่วนพอดูได้ ผมไม่สนเท่าไหร่นักหรอก อยากให้มันเสร็จไปด้วยเท่านั้น  

    แต่แล้วมีใครมาเคาะประตูห้อง เมื่อผมไปเปิด ผมวางกระเป๋าเสื้อผ้าตรงทางเดิน แล้วผมสะดุดล้มเสียเอง ผมมักสะดุดกระเป๋าเสื้อผ้าเสมอ ๆ นั่นแหละ

    เมื่อผมเปิดประตูออก ก็เห็นหญิงกลางคืนนางหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น  สวมชุดคลุมโปโล ไม่สวมหมวก  ผมสีบลอนด์  ทำเป็นลอนไม่มีกระเป๋าสะพาย  

    สบายดีมั้ยครับ”   ผมทักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนบรรลัยเลยล่ะไอ้หนูเอ๊ย

    คุณเป็นคนที่มัวริชแนะนำใช่หรือเปล่า เธอถามด้วยท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

    คนเฝ้าลิฟต์น่ะหรือ

    ใช่แล้ว”  เธอพูดครับ เข้ามาสิครับ”  ผมเชื้อเชิญ  ผมชักยิ่งจะไม่ใส่ใจอะไรเมื่อเวลาคล้อยผ่านไปเรื่อย ๆ  เป็นอย่างนั้นเสียด้วยสิ

    เธอก้าวเข้ามาในห้อง แล้วถอดเสื้อคลุมออกเหวี่ยงลงบนเตียง  ข้างในเธอสวมชุดสีเขียว  หย่อนตัวนั่งลงบนแขนเก้าอี้  ติดกับโต๊ะในห้อง แล้วเริ่มเขย่าเท้าขึ้นลงเธอขยับไขว่ห้างแล้วกระดิกเท้าขึ้นลงอีก มีอาการประหม่าเหมือนกันกระมังในขณะที่ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ  เป๋ยอย่างนั้นจริงๆ  

    ผมว่าเพราะเธออาจจะยังเป็นสาววัยรุ่นอยู่เลย  อายุไม่ต่างจากผมเท่าไหร่  

    ผมนั่งบนเก้าอี้ตัวเขื่องติดกับเธอ ยื่นบุหรี่ให้ “ฉันไม่สูบ”  เธอพูดด้วยเสียงเบาคุณแทบไม่ได้ยิน ทั้งไม่เอ่ยขอบคุณหรืออะไร แม้คุณจะหยิบยื่นอะไรให้  เธอไม่ทำอะไรเลยทั้งนั้น

    ขอแนะนำตัวเองหน่อยนะ ผมชื่อ จิม สตีล”  ผมเอ่ยก่อน

    มีนาฬิกาหรือเปล่า”  เธอพูด ไม่สนใจอะไรกับชื่อผมเลย  “นี่อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ

    ผมเหรอ ยี่สิบสอง

    ตลกจังนะคุณ

    มันตลกดีที่เธอพูดอย่างนี้  ฟังเหมือนเด็กไร้เดียงสา  คุณอาจจะคิดว่าหญิงโสเภณีส่วนมากจะพูดว่า  “ทุเรศเหลือเกินคุณ”  หรือไม่ก็  “มั่วน่า”  แทนที่จะใช้คำว่า “ลกจังนะคุณ

    อายุเท่าไหร่แล้วเธอ”  ผมถามบ้าง

    มากพอที่จะรู้อะไรมากขึ้นก็แล้วกัน”  เธอตอ  

    มีนาฬิกาหรือเปล่า”  เธอถามซ้ำแล้วก็ลุกขึ้นถอดชุดออ

    มันดูแปลกพิกลตอนที่เธอถอดเสื้อผ้าออก  เธอทำอย่างรวดเร็วฉับพลัน  ผมเดาว่าคุณต้องรู้สึกเร่าร้อนบ้างล่ะ ตอนที่คนเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้า แต่ผมเปล่า การยั่วกำหนัดเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะรับรู้สัมผัสได้ ผมรู้สึกห่อเหี่ยวมากกว่ารู้สึกรัญจวนใ

    คุณมีนาฬิกาด้วยนะเนี่ย” เธอพูดยานคาง

    เปล่าไม่มีผมตอบ ไอ้หนูเอ๋ย ผมชักรู้สึกยังไงชอบกลแล้วล่ะ

    คุณชื่ออะไรผมถาม เธอเหลือเพียงเสื้อชั้นในสีชมพู มันดูขัดเขินเหมือนกัน

    ซันนี่เธอตอบเอาเหอะ  เฮ้

    ไม่อยากคุยกันเหรอ”  ผมถามอีก  

    การที่ถามอย่างนั้นมันเหมือนเด็ก ๆ  แต่ผมรู้สึกยังไงก็ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหนเหรอ

    เธอจ้องดูผมราวกับคนเสียสติ  “คุณจะมัวคุยห่าเหวอะไรกันอีกล่ะ

    ไม่รู้สิ  ไม่มีอะไรหรอก  ผมเพียงแต่คิดว่าบางทีคุณอยากจะคุยกันบ้าง

    เธอนั่งลงบนเก้าอี้อีก  ท่าทางไม่ค่อยจะสะดวกสบายนักแล้วกระดิกเท้าอีกแล้ว โธ่ไอ้หนูเอ๋ย  เธอคงประสาทกินเหมือนกันแหละ

    อยากสูบบุหรี่สักมวนมั้ย”  ผมถาม ลืมไปว่าเธอไม่สูบนี่

    ฉันไม่สูบ  ฟังนะ คุณมัวแต่พูด  ทำเสียทีสิ  ฉันมีธุระต้องทำอีกนะ

    ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรอีก  ผมคิดว่าอยากถามเธอมายึดอาชีพนี้ทำไม แต่ก็หวั่นใจที่จะถามเธอ  เธอคงไม่มีวันตอบผมหรอก  

    คุณคงไม่ใช่คนนิวยอร์ก ใช่ม้้ย”  ผมพูดขึ้น คิดได้แค่นี้เอง

    ฮอลลีวูด”  เธอตอบแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปยังที่เธอถอดชุดวางไว้บนเตียง  

    คุณมีที่แขวนหรืเปล่า  ฉันไม่อยากให้มันยับ  มันยังสะอาดเรียบอยู่เลย

    มีสิผมตอบ

    แต่รู้สึกยินดีที่ได้ลุกขึ้นทำอะไรสักอย่าง ผมนำชุดของเธอไปแขวนในตู้เสื้อผ้า  

    มันตลกดีแต่ก็รํู้สึกเศร้ายังไงก็ไม่รู้ตอนแขวนชุดของเธอ ผมคิดไปถึงตอนที่เธอไปเดินตามห้างหาซื้อชุดนี้มา และร้านที่เธอไปซื้อไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นสาวโสเภณี พนักงานขายคงคิดว่าเป็นผู้หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง มันน่าเศร้าฉิบไม่รู้เลยจริงว่าทำไมผมถึงได้เศร้าใจได้ขนาดนั้น

    ผมนั่งลงอีกและพยายามจะคุยในประเด็นเก่าที่ดำเนินต่อไป เธอเป็นคู่สนทนาที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องสักเท่าไหร่

     “คุณทำงานทุกคืนเลยหรือ”  ผมถาม  มันน่าขยะแขยงที่หลุดคำถามนี้ออกไป

    ช่ายเธอเดินไปมาในห้อง หยิบเมนูรายการอาหารบนโต๊ะมาอ่าน

    วันคุณทำอะไรบ้างล่ะ

    เธอยักไหล่  รูปร่างบอบบาง  “นอนน่ะสิ  ไปดูโน่นดูนี่เรื่อย”  

    เธอวางแผ่นเมนูลงแล้วจ้องมองผม  “ทำซะทีสิ  ฉันไม่มีเวลามากนักหรอกนะ

    นี่”   ผมพูด

     “ผมไม่มีอารมณ์อะไรหรอกคืนนี้  มันแย่หน่อยนะ พูดตรงผมจ่ายคุณทั้งหมดแน่นอน  แต่คุณคงไม่ว่าอะไรถ้าเราจะไม่ทำอะไรกันนะ ว่าไง

    สิ่งที่ว่าแย่ก็คือผมแค่ไม่อยากนอนกับเธอ  ผมรู้สึกห่อเหี่ยวใจมากกว่าจะมีอารมณ์ทางเพศ จริงนะ เธอก็ท่าทางไม่สดใสไม่แตกต่างกันหรอก ชุดสีเขียวของเธอยังคงแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า  อีกอย่างผมไม่คิดว่าจะหลับนอนกับใครที่นั่งดูหนังได้ตลอดทั้งวันหรอก จริงนะ  ผมทำไม่ได้หรอก

    เธอเยื้องย่างเข้ามาหา  ด้วยหน้าระริกระรี้  เหมือนไม่เชื่อที่ผมพูด  “เกิดอะไรขึ้นฮึ”  เธอถาม

    เปล่าไม่มีอะไร”  ไอ้หนูเอ๋ย  ผมนี่ท่าจะประสาทกินแล้ว  “เหตุผลก็เพราะผมเพิ่งผ่าตัดมาไม่นานนี้เอง

    เหรอ ที่ไหนล่ะ

    ที่อะไรนะ  กระดูกไขสันหลัง

    งั้นเหรอ  มันอยู่ตรงไหน

    กระดูกไขสันหลังไง”  ผมบอก

     “เอ่อที่จริงมันอยู่ตรงไขสันหลังค่อนไปทางด้านล่างไขสันหลังแถวนี้แหละ

    งั้นเหรอ”  เธอพูด  “มันแย่เลยนะ”  แล้วเธอก็นั่งลงบนตักผม “คุณเท่จัง

    เธอทำให้ผมตัวสั่นเข้าให้แล้ว ผมได้แต่เอนตัวนอน  “ผมยังเพิ่งพักฟื้น”  ผมบอกเธอ

    หน้าตาคุณเหมือนดาราคนหนึ่งแน่ะ รู้เปล่่า ใครกันนะ รู้มั้ยว่าเหมือนใคร  เขาชื่อห่าอะไรนะ

    ไม่ ผมไม่รู้  ผมนานจะดูหนังสักเรื่องหนึ่ง

    จากนั้นเธอก็หาเรื่องสนุกทะลึ่งตึงตังมาหยอกเล่น

    คุณจะเลิกคุยเรื่องพวกนี้ได้รึยัง”  ผมถาม  “ผมไม่มีอารมณ์ ผมบอกแล้วไงเพิ่งผ่าตัดมา

    เธอไม่ลุกจากตักผม ทั้งจ้องมองเขม็งทำหน้าดุใส่  “นี่ฟังนะเธอพูด

    ฉันนอนหลับสนิทอยู่ตอนที่มัวริชปลุกฉันมา  ถ้าคุณคิดว่าฉั___

    ผมบอกแล้วไงว่าผมจะจ่ายค่าเสียเวลาที่มา จริงด้วย ผมมีเงินน่า มันแค่ผมเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด__”

    แล้วคุณบอกมัวริชไปหาผู้หญิงมาทำซากอะไร  ถ้าคุณเพิ่งผ่าตัดอาการห่าอะไรนั่น  หา

    ผมคิดว่าอาการคงจะดีขึ้นมากกว่าที่คิด  คาดว่าจะหายเร็วก่อนกำหนดเล็กน้อย  จริงนะขอโทษ  คุณลุกขึ้นก่อนสิ  ผมจะไปหยิบกระเป๋าสตางค์

    เธอชักเคือง  แต่ก็ยอมลุกจากตักผมเลยข้ามไปหยิบกระเป๋าเงินจากลิ้นชักโต๊ะ  แล้วหยิบธนบัตรห้าดอลลาร์ส่งให้เธอ

     “ขอบคุณนะ”  ผมบอก  “ขอบคุณมาก  ๆ”

    นี่มันแค่ห้าเอง  ต้องสิบสิ

    เธอแสดงอาการงอแง ผมเกรงว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้   ผมเป็นอย่างนั้นจริ  ๆ

    มัวริชบอกว่าห้าเหรียญ โทษที อย่างน้้นผมก็จ่ายได้เท่านี้แหละ

    เธอยังไหล่แบบที่เคยทำ  จากนั้นพูดอย่างเย็นชา  

    ช่วยหยิบชุดให้ฉันได้มั้ย หรือมันยุ่งนัก”  

    เธอเหมือนเด็กแสบ  แม้เสียงจะเบาก็ตาม เธอทำให้คุณรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเข้าแล้ว  ถ้าเธอเป็นโสเภณีที่คร่ำหวอดกร้านโลก พอกหน้าหนาเตอะ เธอก็คงไม่ต่างจากปิศาจไปแล้วครึ่งตัวเลยทีเดียว

    ผมไปหยิบชุดให้เธอ  เธอสวมปุบปับ  แล้วคว้าเสื้อคลุมโปโลจากเตียง

     “ไปก่อนนะ  พ่อก้นปอดเธอพูด

    ลาก่อน”  

    ผมตอบ  ผมไม่คิดจะขอบคุณเธอ  ผมดีใจที่ไม่ทำอย่างนั้น

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments