ตอน 14
ซันนี่ไปแล้วผมนั่งทอดหุ่ยกับเก้าอี้สักพัก
สูบบุหรี่สองสามมวน ข้างนอกเริ่มสว่างแล้ว ไอ้หนูเอ๋ย ความรู้สึกใจหายและหดหู่มันกลับมาครอบงำผมอีกคำรบหนึง จินตนาการไม่ถูกหรอก ผมทำอะไร เริ่มพูดคุยเสียงดังลั่นกับแอลลี่ ผมทำแบบนั้นบางเวลาที่รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก
ผมมักจะพูดพร่ำกับเขาให้กลับบ้านเถอะ แล้วไปเอาจักรยานมาขี่ ไปเจอกันที่หน้าบ้านของบ๊อบบี้ ฟอลลอน
เจ้าบ๊อบบี้ฟอลลอน เคยอาศัยอยู่ข้างบ้านเราที่รัฐเมนหลายปีก่อน แล้วอะไรเกิดขึ้นหรือ
วันหนึ่งบ๊อบบี้กับผมพากันขี่จักรยานไปที่ทะเลสาบเซเดบีโก เราเอาอาหารกลางวันไปกินด้วยกัน พร้อมทั้งปืนอัดลม เรายังเด็กมากตอนนั้น วางแผนว่าจะไปยิงอะไรสักอย่างนี่แหละ
พอแอลลี่ได้ยินเราคุยกันเรื่องนี้ ก็อยากไปกับเราด้วย ผมไม่ยอมให้เขาไปด้วยหรอก ผมบอกว่าเขายังเด็กเกินไป ดังนั้นขณะหนึ่ง ตอนที่ผมจิตใจหดหู่เหลือเกิน ผมจะพูดกับเขาว่า
“โอเค กลับบ้านไปเอาจักรยานแล้วก็ไปเจอกันหน้าบ้านบ๊อบบี้ เร็วเข้า”
มันไม่หมายความว่าผมไม่เคยพาเขาไปไหนด้วยหรอก ตอนไปตะลอนที่ไหน ผมเคยทำบ้าง แต่นั่นเป็นวันเดียวที่ผมไม่ยอมให้เขาไปด้วยเขาก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ดูเขาไม่เคยจะโกรธเคืองอะไรเลยทีเดียว แต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ทุกทีตอนที่รู้สึกใจห่อเหี่ยวมาก ๆ
ในที่สุดผมถอดเสื้อผ้าแล้วเอนตัวลงนอนบนเตียง ราวกับรู้สึกว่ากำลังพร่ำสวดมนต์หรือคล้าย ๆกัน ขณะอยู่บนเตียงแต่ผมก็ไม่ได้สวดอะไรหรอก ผมสวดไม่ได้ยามรู้สึกอยากจะทำอย่างนั้น
ประการแรกคือ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ผมชอบจีซัสนะ แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากในเรื่องที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ที่มีหลักคำสอนอะไรอย่างนั้น มันน่ารำคาญ ถ้าคุณอยากรู้จักความจริงทุกสิ่งทุกอย่างใช้ได้หมด หลังจากจีซัสล่วงลับไป
แต่ขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาทำกับจีซัสเหมือนรูโบ๋ในกะโหลกคุณ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการปล่อยให้พระองค์จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความหายนะ
ผมไม่ชอบคนหลายคนในคัมภีร์ไบเบิลมากไปกว่าหลักคำสอน
ถ้าอยากรู้ความจริงนะ บุคคลที่ผมชื่นชอบที่สุดถัดจากจีซัสก็คือคนบ้าที่อาศัยในหลุมศพ และพยายามทุบตีตัวเองด้วยก้อนหิน ผมชอบเขามากเป็นสิบๆเท่าพอๆกับหลักคำสอนน้่น คนถ่อยที่น่าเวทนา
ผมเคยถกเถียงเรื่องนี้สองสามหน ตอนเรียนที่โรงเรียนวูตัน กับเด็กคนหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างชื่อ อาเธอร์ ไชลด์ส เจ้าไชลด์ส เป็นพวกเควกเกอร์ เคร่งครัดมาก มันจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลตลอดเวลา มันเป็นเด็กน่ารัก ผมชอบมัน แต่ไม่เคยคุยกันในเรื่องพวกนี้นัก โดยเฉพาะเรื่องหลักคำสอน
มันบอกผมเสมอว่าถ้าไม่ชื่นชอบในหลักคำสอนแล้วล่ะก็ผมก็คงจะไม่ชอบจีซัสด้วยหรอก มันบอกอีกว่าเพราะจีซัสเป็นผู้สร้างหลักคำสอน คุณจึงควรจะชื่นชอบหลักคำสอนด้วย
ผมบอกว่าผมรู้แล้วว่าจีซัสเป็นผู้สร้างหลักคำสอนแต่ว่าพระองค์สร้างขึ้นจากการเดาสุ่มผิดถูก ผมบอกได้เลยว่าพระองค์ไม่มีเวลาที่จะมาพินิจพิเคราะห์ความเป็นไปของแต่ละคน ผมไม่ได้โทษจีซัสหรืออะไรนะ มันไม่ใช่ความผิดของพระองค์ที่ไม่มีเวลา
ผมจำได้ว่าผมถามเจ้าไชลด์สว่าถ้ามันคิดว่าจูดาส์เป็นคนทรยศต่อจีซัส ต้องไปสู่ขุมนรกอเวจีหลังจากฆ่าตัวตาย
เจ้าไชลด์สตอบว่าแน่นอน นั่นเป็นความขัดแย้งของผมกับมันล่ะ ผมบอกมันว่า พนันกันสักพันเหรียญว่าจีซัสไม่ส่งจูดาส์ไปสู่ห้วงหายนะหรอก ผมจะพนันแน่ถ้าผมมีเงินหนึ่งพันเหรียญ ผมคิดว่าใครๆ ในหลักคำสอนจะส่งเขาไปสู่นรกแน่นอน โดยทันใด แต่พนันได้ว่าจีซัสจะไม่ทำอย่างนั้นแน่
เจ้าไชลด์สบอกว่า สิ่งที่เลวร้ายของผมอยู่ตรงนี้ ผมไม่เข้าโบสถ์ หรืออะไรสักอย่าง โดยวิถีทางนั้น มันก็พูดถูกเผง ผมไม่ไปโบสถ์ ประการแรก พ่อแม่ผมนับถือศาสนาต่างกัน และพวกลูก ๆ ในครอบครัวเลยเป็นพวกไม่นับถือพระเจ้า
ถ้าคุณอยากรู้ความจริง ผมจึงทนพวกนักบวชไม่ได้ ต้องมีประจำทุกโรงเรียนที่ผมเคยเรียน พวกนี้มีน้ำเสียงแบบคนมีธรรมะ ตอนพิธีเริ่มสวดมนต์
พระเจ้า ผมล่ะเกลียดนักผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกพระจะสวดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นธรรมชาติไม่ได้ พวกเขามีน้ำเสียงฟังไม่น่านับถือเลยล่ะ
อย่างไรก็ตามตอนที่ผมนอนอยู่ที่เตียงนั้น ผมไม่อาจสวดสรรเสริญพระเจ้าได้เลย ทุก ๆ เวลาที่ผมเริ่มต้น ผมจะนึกเห็นภาพของซันนี่เรียกผมว่าพ่อก้นปอด ในที่สุดผมก็ลุกนั่ง ท้้งยังสูบบุหรี่ได้อีกมวนรสชาติแย่เอามาก ๆ ผมคงสูบบุหรี่ไปราวสองห่อใหญ่ ตั้งแต่ออกจากเพนซี่มา
เกือบในทันใด ขณะที่นอนสูบบุหรี่ มีคนมาเคาะประตู ผมได้แต่หวังว่าไม่ใช่ที่หน้าประตูห้องผมนะ แต่แล้วมันก็ใช่นั่นแหละ ผมไม่รู้สึกหรอกว่ารู้ได้อย่างไร แต่ก็รู้ ผมรู้ว่าเป็นใครด้วย ผมเป็นพวกคนทรงเจ้าล่ะ
“ใครกันเนี่ย” ผมตะโกนถาม
ผมชักกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ ผมเป็นไอ้ปอดแหกในเรื่องอย่างนี้มันเคาะย้ำอีกดังกว่าเดิม
ผมผลุนผลันลุกจากเตียง มีชุดคลุมนอนสวมอยู่ แล้วเปิดประตูห้อง แต่ไม่ได้เปิดไฟสว่าง เพราะมันเริ่มเช้าแล้ว ซันนี่กับเจ้ามัวริช คนประจำลิฟต์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“มีอะไรล่ะ ต้องการอะไร”
ผมถาม ไอ้หนูเอ๊ย เสียงผมชักเริ่มตะกุกตะกัก
“เปล่าหรอก แค่เรื่องห้าเหรียญ”
เจ้ามัวริชพูด มันบอกว่าที่ตกลงกันสำหรับสองคน ซันนี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปากเผยออ้าทีเดียว
“ผมก็จ่ายไปแล้วนี่ ผมให้เธอห้าเหรียญ ถามเธอสิ” ผมพูดตอบ ไอ้หนูเอ๋ย เสียงผมสั่นอีกแล้ว
“มันต้องสิบเหรียญสิ เจ้านาย ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ สิบเหรียญสำหรับชั่วคราว สิบห้าเหรียญยันบ่าย บอกอย่างนั้นไม่ใช่หรือ”
“คุณไม่ได้บอกผมอย่างนั้นสักหน่อย คุณบอกว่าห้าเหรียญชั่วคราว สิบห้าเหรียญถึงบ่าย ถูกมั้ยครับ ผมไม่ยักกะได้ยินคุณ__”
“เปิดประตู เจ้านาย”
“ทำไมล่ะ”
ผมถาม พระเจ้า หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำจนแทบกระเด็นออกจากห้อง ผมหวังว่าอย่างน้อยก็ได้สวมเสื้อผ้าก่อน มันคงน่าสยองที่อยู่ในชุดผ้าคลุมน้อยนิด เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้
“เอาเลย เจ้านาย”
เจ้ามัวริชพูดขึ้น แล้วจากนั้นก็ผลักด้วยมือสากอย่างแรง ผมเกือบเซถลาล้มลงกับพื้นห้องน้ำ มันแค่ไอ้ลูกหมาตัวโตหน่อยแค่นั้น ที่รู้ต่อมามันกับซันนี่เข้ามาอยู่ในห้องของผมเรียบร้อย ทำราวกับมันเป็นเจ้าของสถานที่เอง ซันนี่นั่งแหมะลงบนขอบหน้าต่าง เจ้ามัวริชในชุดพนักงานเฝ้าลิฟต์ นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ แกะกระดุมคอเสื้อ ไอ้หนูเอ๋ย ผมชักปอดมากเกินไปแล้ว
“เอาล่ะ เจ้านาย จ่ายมาซะ ผมต้องกลับไปทำงานต่อ”
“ผมบอกคุณไปแล้วสิบเที่ยว ผมไม่ได้ติดหนี้คุณแม้แต่เซ็นต์หนึ่ง ผมให้เธอไปแล้วห้า__”
“เลิกพูดเลอะเทอะเสียที จ่ายมาซะดี ๆ”
“ทำไมผมจะต้องให้เธออีกห้าเหรียญล่ะ” ผมถาม เสียงดังไปทั่วห้อง “คุณพยายามจะโขกอีกเหรอ”
เจ้ามัวริชปลดกระดุมชุดเครื่องแบบออกหมด เผยให้เห็นชุดข้างในมีแค่ปกเสื้อหลอก ๆ แต่ไม่มีส่วนลำตัวเสื้อเชิ้ต รูปร่างมันอ้วนกลม มีขนดกฟูที่หน้าท้อง
“ไม่มีใครโขกใครหรอกนะ” มันพูด “จ่ายมาเลย เจ้านาย”
“ไม่”
เมื่อผมตอบไปแบบนั้น มันลุกจากเก้าอี้แล้วแยื้องก้าวเข้ามาหาผมด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดาและสุดระอา พระเจ้า ผมกลัวมากไปแล้ว ผมแบบว่ากอดอก ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายอะไรนัก ถ้าผมไม่อยู่ในชุดเสื้อคลุมนอนนั่น
“จ่ายมาเถอะเจ้านาย” มันเดินตรงมาที่ผมยืนอยู่ แล้วพูดว่า“จ่ายมาเถอะเจ้านาย” มันช่างปัญญานิ่มจริง ๆ
“ไม่”
“เจ้านายบังคับให้ผมต้องออกแรงด้วยเหรอ ผมไม่อยากจะทำอะไรอย่างนั้นหรอก แต่ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นเสียแล้ว” มันพูด “นายเป็นหนี้เราห้าเหรียญ”
“ผมไม่ได้เป็นหนี้คุณห้าเหรียญนะ” ผมพูด
“ถ้าใช้กำลังกับผม ผมก็จะร้องตะโกนสุดเสียงปลุกทั้งโรงแรมเลยล่ะ รวมทั้งตำรวจด้วย” เสียงของผมยังคงสั่นตะกุกตะกักยิ่งขึ้น
“เอาเลย ตะโกนให้ลั่นไปเลยสิ ได้เลย” เจ้ามัวริชพูด “อยากให้พ่อแม่คุณรู้เหรอว่าคุณมาค้างคืนกับกะหรี่ พวกลูกไฮโซอย่างคุณ” มันก็คารมคมคายในแบบที่มันถนัด
“อย่ามายุ่งกับผม ถ้าคุณจะเอาสิบ มันก็ไม่ใช่อย่างที่ตกลงกัน แต่คุณ__”
“จะให้เราหรือเปล่า”
มันดันผมไปติดประตู เกือบจะยืนคร่อมผมอยู่แล้ว เห็นพุงเต็มไปด้วยขนขยุกขยุย
“ปล่อยผมนะ ไปให้พ้นจากห้องผมเดี๋ยวนี้เลย”
ผมเสียงแข็งกร้าว ขณะที่ยังกอดอกอยู่ โธ่เว้ยผมเหมือนไอ้เบี๊อกขนาดนั้นเลยหรือ
จากนั้นซันนี่ก็เปิดปากบ้าง “เฮ้ มัวริช ให้ฉันค้นกระเป๋าเขาเอามั้ยล่ะ” เธอถาม “มันอยู่ตรงนั้นน่ะ”
“เอาเลย ไปเอามา”
“อย่าแตะต้องกระเป๋าผมนะ”
“ฉันเอามาได้แล้วนี่ไง”
ซันนี่พูด เธอหยิบธนบัตรห้าเหรียญมาโบกไหวไปมาตรงหน้าผม “เห็นเปล่า ฉันหยิบมาอีกแค่ห้าที่นายติดหนี้ฉัน ฉันไม่ใช่พวกหัวขโมยนะจะบอกให้”
เกือบทันใดผมเริ่มน้ำตาซึม ผมจะไม่ยอมให้อะไรทั้งนั้นถ้าผมไม่มีจะให้ แต่ผมจำต้องจ่ายจนได้ “ไม่ เธอไม่ได้เป็นหัวขโมยหรอก” ผมบอก “เธอเพิ่งขโมยห้า__”
“หุบปากซะ” เจ้ามัวริชตบบ่าผม
“ปล่อยเขาเถอะ เฮ้” ซันนี่พูด “พอที เราได้เงินที่เขาติดหนี้เราคืนแล้ว ไปกันเถอะ เอาน่า”
“ก็ได้” เจ้ามัวริชพูดแต่ก็ยังทำรีรอไม่ไปเสียที
“บอกตรง ๆ มัวริช เฮ้ อย่ายุ่งกับเขาเลย”
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
มันพูดช่างไร้เดียงสาจริง จากนั้นมันก็ขยุ้มนิ้วอย่างแรงกับเสื้อคลุมนอนผม ผมบอกไม่ได้หรอกว่ามันขยุ้มเข้าตรงไหน แต่มันเจ็บปวดแทบคลั่ง ผมบอกมันว่าไอ้สวะโสโครก
“อะไรวะ” มันสำรากใส่ผม ป้องหูเหมือนฟังไม่ถนัด ราวกับเป็นคนหูตึง “อะไรวะ ฉันเป็นยังไงเหรอ”
ผมเหมือนจะร้องไห้ ท่าทางคงบ้าและประสาทกินเกินไป
“นายมันไอ้ทึ่มไอ้ทึ่มโสโครก” ผมสวนกลับ
“นายมันไอ้พวกขี้โกงหน้าด้าน อนาคตไม่เกินสองปีนายก็จะเป็นแค่พวกกากเดนเร่ร่อนไปตามถนนแบมือขอเศษสตางค์ค่ากาแฟ เสื้อคลุมสกปรกเหม็นมีรอยปะไปทั่ว และนายจะ__”
แล้วผมมันก็อัดผมอีกผลัวะ ผมไม่คิดแม้แต่จะหลบ รู้แต่ว่าหมัดลุ่น ๆ ของมันเข้าเต็มท้องอย่างเหมาะเหม็ง
ผมไม่ถูกคว่ำเสียทีเดียว เพราะยังเหลือบเห็นทั้งสองออกจากห้องแล้วปิดประตูโครมไล่หลัง ผมลุกขึ้นจากห้องอย่างทุลักทุเลเหมือนกับที่ผมชกกับไอ้สแตรดเลเตอร์ เพียงแต่ว่าหนนี้ผมคิดว่าจะไม่รอดแล้ว จริง ๆ นะมันเหมือนคนจมน้ำหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง มันหนักหนาสาหัสขนาดที่ผมแทบจะขาดใจ กระทั่งลุกขึ้นได้ ผมต้องเดินไปห้องน้ำอย่างยากลำบาก เป็นทวีคูณ โดยที่มือกุมท้องไปด้วย
แต่ผมเป็นเอามากๆ สาบานหน้าพระเจ้า ประมาณครึ่งทางถึงห้องอาบน้ำ ผมเริ่มแสร้งทำเป็นว่ามีหัวกระสุนฝังอยู่ในช่องท้องผม ความจริงเจ้ามัวริชเป็นคนอัดผม ตอนนี้ผมเดินไปห้องอาบน้ำหาเหล้าเบอร์เบิ้นสักก๊งระงับประสาท ช่วยให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังแอ็คชั่นสมจริง
ผมมองเห็นภาพตัวเองออกจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อย มีปืนพกอยู่ในกระเป๋า เดินเซแซ่ดเล็กน้อย แล้วผมก็เดินลงบันไดแทนที่จะลงลิฟต์ ผมจับราวบันไดไปตลอด มีคราบเลือดไหลย้อยจากมุมปากเล็กน้อยในตอนนั้น
ผมทำอะไรต่อไปน่ะหรือ ผมก็เดินลงไปได้สองสามชั้น มือกุมท้อง เลือดเปรอะไปทั่วบริเวณ แล้วผมก็สั่งกระดิ่งลิฟต์
ทันที่เจ้ามัวริชเปิดประตูออก มองเห็นผมมีปืนแบบอัตโนมัติในมือ มันก็ส่งเสียงร้องผวาอย่างสุดเสียงตื่นตระหนกสุดขีด ร้องวอนผมอย่าทำอะไรมันเลย แต่ผมก็ซัดหกนัดซ้อนเข้าพุงที่มีแต่ขนปุกปุย จากนั้นก็โยนปืนทิ้งลงทางช่องลิฟต์
หลังจากลายนิ้วมือแฝงแล้ว ผมก็ย่องกลับเข้าห้องพัก แล้วโทรหาเจน เรียกเธอให้มาจัดการทำแผลให้ ผมวาดภาพเธอคีบบุหรี่ให้ผมสูบขณะที่เลือดยังไม่หยุดไหล
หนังโคตรห่วยมันมีอิทธิพลครอบงำคุณอย่างหนัก นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
ผมอยู่ในห้องอาบน้ำนานกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อชำระล้างร่างกาย จากนั้นกลับขึ้นเตียงนอนสักพักหนึ่งก็ผล็อยหลับอย่างง่า่ยดายทั้งที่ไม่ได้เหนื่อยล้าเท่าไหร่ แต่ก็หลับลงจนได้
ผมรู้สึกอย่างไรในตอนนี้น่ะหรือ
ก็กังวลเหมือนคนฆ่าตัวตาย รู้สึกเหมือนกระโดดจากหน้าต่าง บางทีรู้สึกเหมือนว่าทำอย่างนั้นไปแล้วเหมือนกัน ถ้า
ผมแน่ใจว่าจะมีใครมาเก็บร่างผมในทันใดที่หล่นกระแทกพื้นแล้ว ผมไม่ต้องการให้พวกชอบสอดรู้สอดเห็น พากันมามุงดูศพผมที่จมกองเลือดอย่างน่าอเนจอนาถลูกตาหรอก