Thursday, November 21, 2024
More
    Homeเรื่องสั้น-วรรณกรรมวรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน 14

    วรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน 14

    ตอน 14

    ซันนี่ไปแล้วผมนั่งทอดหุ่ยกับเก้าอี้สักพัก

    สูบบุหรี่สองสามมวน ข้างนอกเริ่มสว่างแล้ว ไอ้หนูเอ๋ย ความรู้สึกใจหายและหดหู่มันกลับมาครอบงำผมอีกคำรบหนึง จินตนาการไม่ถูกหรอก ผมทำอะไร เริ่มพูดคุยเสียงดังลั่นกับแอลลี่ ผมทำแบบนั้นบางเวลาที่รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก

    ผมมักจะพูดพร่ำกับเขาให้กลับบ้านเถอะ แล้วไปเอาจักรยานมาขี่ ไปเจอกันที่หน้าบ้านของบ๊อบบี้ ฟอลลอน

    เจ้าบ๊อบบี้ฟอลลอน เคยอาศัยอยู่ข้างบ้านเราที่รัฐเมนหลายปีก่อน แล้วอะไรเกิดขึ้นหรือ

    วันหนึ่งบ๊อบบี้กับผมพากันขี่จักรยานไปที่ทะเลสาบเซเดบีโก เราเอาอาหารกลางวันไปกินด้วยกัน พร้อมทั้งปืนอัดลม เรายังเด็กมากตอนนั้น วางแผนว่าจะไปยิงอะไรสักอย่างนี่แหละ

    พอแอลลี่ได้ยินเราคุยกันเรื่องนี้ ก็อยากไปกับเราด้วย ผมไม่ยอมให้เขาไปด้วยหรอก ผมบอกว่าเขายังเด็กเกินไป ดังนั้นขณะหนึ่ง ตอนที่ผมจิตใจหดหู่เหลือเกิน ผมจะพูดกับเขาว่า

    โอเค กลับบ้านไปเอาจักรยานแล้วก็ไปเจอกันหน้าบ้านบ๊อบบี้ เร็วเข้า

    มันไม่หมายความว่าผมไม่เคยพาเขาไปไหนด้วยหรอก ตอนไปตะลอนที่ไหน ผมเคยทำบ้าง แต่นั่นเป็นวันเดียวที่ผมไม่ยอมให้เขาไปด้วยเขาก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ดูเขาไม่เคยจะโกรธเคืองอะไรเลยทีเดียว แต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ทุกทีตอนที่รู้สึกใจห่อเหี่ยวมาก  ๆ

    ในที่สุดผมถอดเสื้อผ้าแล้วเอนตัวลงนอนบนเตียง ราวกับรู้สึกว่ากำลังพร่ำสวดมนต์หรือคล้าย  ๆกัน ขณะอยู่บนเตียงแต่ผมก็ไม่ได้สวดอะไรหรอก ผมสวดไม่ได้ยามรู้สึกอยากจะทำอย่างนั้น

    ประการแรกคือ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ผมชอบจีซัสนะ แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากในเรื่องที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ที่มีหลักคำสอนอะไรอย่างนั้น  มันน่ารำคาญ  ถ้าคุณอยากรู้จักความจริงทุกสิ่งทุกอย่างใช้ได้หมด  หลังจากจีซัสล่วงลับไป

    แต่ขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาทำกับจีซัสเหมือนรูโบ๋ในกะโหลกคุณ  สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการปล่อยให้พระองค์จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความหายนะ

    ผมไม่ชอบคนหลายคนในคัมภีร์ไบเบิลมากไปกว่าหลักคำสอน

    ถ้าอยากรู้ความจริงนะ  บุคคลที่ผมชื่นชอบที่สุดถัดจากจีซัสก็คือคนบ้าที่อาศัยในหลุมศพ และพยายามทุบตีตัวเองด้วยก้อนหิน  ผมชอบเขามากเป็นสิบเท่าพอกับหลักคำสอนน้่น คนถ่อยที่น่าเวทนา 

    ผมเคยถกเถียงเรื่องนี้สองสามหน ตอนเรียนที่โรงเรียนวูตัน กับเด็กคนหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างชื่อ อาเธอร์ ไชลด์ เจ้าไชลด์ส เป็นพวกเควกเกอร์ เคร่งครัดมาก มันจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลตลอดเวลา มันเป็นเด็กน่ารัก ผมชอบมัน  แต่ไม่เคยคุยกันในเรื่องพวกนี้นัก โดยเฉพาะเรื่องหลักคำสอน

    มันบอกผมเสมอว่าถ้าไม่ชื่นชอบในหลักคำสอนแล้วล่ะก็ผมก็คงจะไม่ชอบจีซัสด้วยหรอก มันบอกอีกว่าเพราะจีซัสเป็นผู้สร้างหลักคำสอน  คุณจึงควรจะชื่นชอบหลักคำสอนด้วย

    ผมบอกว่าผมรู้แล้วว่าจีซัสเป็นผู้สร้างหลักคำสอนแต่ว่าพระองค์สร้างขึ้นจากการเดาสุ่มผิดถูก  ผมบอกได้เลยว่าพระองค์ไม่มีเวลาที่จะมาพินิจพิเคราะห์ความเป็นไปของแต่ละคน  ผมไม่ได้โทษจีซัสหรืออะไรนะ มันไม่ใช่ความผิดของพระองค์ที่ไม่มีเวลา

    ผมจำได้ว่าผมถามเจ้าไชลด์สว่าถ้ามันคิดว่าจูดาส์เป็นคนทรยศต่อจีซัส  ต้องไปสู่ขุมนรกอเวจีหลังจากฆ่าตัวตาย

    เจ้าไชลด์สตอบว่าแน่นอน นั่นเป็นความขัดแย้งของผมกับมันล่ะ ผมบอกมันว่า พนันกันสักพันเหรียญว่าจีซัสไม่ส่งจูดาส์ไปสู่ห้วงหายนะหรอก ผมจะพนันแน่ถ้าผมมีเงินหนึ่งพันเหรียญ ผมคิดว่าใครในหลักคำสอนจะส่งเขาไปสู่นรกแน่นอน โดยทันใด แต่พนันได้ว่าจีซัสจะไม่ทำอย่างนั้นแน่

    เจ้าไชลด์สบอกว่า สิ่งที่เลวร้ายของผมอยู่ตรงนี้ ผมไม่เข้าโบสถ์ หรืออะไรสักอย่าง  โดยวิถีทางนั้น มันก็พูดถูกเผง ผมไม่ไปโบสถ์ ประการแรก พ่อแม่ผมนับถือศาสนาต่างกัน  และพวกลูกในครอบครัวเลยเป็นพวกไม่นับถือพระเจ้า  

    ถ้าคุณอยากรู้ความจริง  ผมจึงทนพวกนักบวชไม่ได้ ต้องมีประจำทุกโรงเรียนที่ผมเคยเรียน พวกนี้มีน้ำเสียงแบบคนมีธรรมะ ตอนพิธีเริ่มสวดมนต์

    พระเจ้า ผมล่ะเกลียดนักผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกพระจะสวดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นธรรมชาติไม่ได้ พวกเขามีน้ำเสียงฟังไม่น่านับถือเลยล่ะ

    อย่างไรก็ตามตอนที่ผมนอนอยู่ที่เตียงนั้น ผมไม่อาจสวดสรรเสริญพระเจ้าได้เลย ทุกเวลาที่ผมเริ่มต้น ผมจะนึกเห็นภาพของซันนี่เรียกผมว่าพ่อก้นปอด ในที่สุดผมก็ลุกนั่ง ท้้งยังสูบบุหรี่ได้อีกมวนรสชาติแย่เอามากผมคงสูบบุหรี่ไปราวสองห่อใหญ่ ตั้งแต่ออกจากเพนซี่มา

    เกือบในทันใด ขณะที่นอนสูบบุหรี่ มีคนมาเคาะประตู ผมได้แต่หวังว่าไม่ใช่ที่หน้าประตูห้องผมนะ แต่แล้วมันก็ใช่นั่นแหละ  ผมไม่รู้สึกหรอกว่ารู้ได้อย่างไร แต่ก็รู้  ผมรู้ว่าเป็นใครด้วย ผมเป็นพวกคนทรงเจ้าล่ะ

    “ใครกันเนี่ย”  ผมตะโกนถาม  

    ผมชักกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ ผมเป็นไอ้ปอดแหกในเรื่องอย่างนี้​มันเคาะย้ำอีกดังกว่าเดิม

    ผมผลุนผลันลุกจากเตียง มีชุดคลุมนอนสวมอยู่  แล้วเปิดประตูห้อง แต่ไม่ได้เปิดไฟสว่าง เพราะมันเริ่มเช้าแล้ว ซันนี่กับเจ้ามัวริช คนประจำลิฟต์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู

    “มีอะไรล่ะ ต้องการอะไร”

    ผมถาม ไอ้หนูเอ๊ย เสียงผมชักเริ่มตะกุกตะกัก

    “เปล่าหรอก แค่เรื่องห้าเหรียญ”

    เจ้ามัวริชพูด  มันบอกว่าที่ตกลงกันสำหรับสองคน ซันนี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปากเผยออ้าทีเดียว

    “ผมก็จ่ายไปแล้วนี่ ผมให้เธอห้าเหรียญ ถามเธอสิ” ผมพูดตอบ ไอ้หนูเอ๋ย เสียงผมสั่นอีกแล้ว

    “มันต้องสิบเหรียญสิ เจ้านาย ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ สิบเหรียญสำหรับชั่วคราว สิบห้าเหรียญยันบ่าย บอกอย่างนั้นไม่ใช่หรือ”

    “คุณไม่ได้บอกผมอย่างนั้นสักหน่อย คุณบอกว่าห้าเหรียญชั่วคราว  สิบห้าเหรียญถึงบ่าย ถูกมั้ยครับ ผมไม่ยักกะได้ยินคุณ__”

    “เปิดประตู เจ้านาย”

    “ทำไมล่ะ”

    ผมถาม พระเจ้า หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำจนแทบกระเด็นออกจากห้อง ผมหวังว่าอย่างน้อยก็ได้สวมเสื้อผ้าก่อน  มันคงน่าสยองที่อยู่ในชุดผ้าคลุมน้อยนิด  เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้

    “เอาเลย เจ้านาย”

    เจ้ามัวริชพูดขึ้น แล้วจากนั้นก็ผลักด้วยมือสากอย่างแรง  ผมเกือบเซถลาล้มลงกับพื้นห้องน้ำ  มันแค่ไอ้ลูกหมาตัวโตหน่อยแค่นั้น ที่รู้ต่อมามันกับซันนี่เข้ามาอยู่ในห้องของผมเรียบร้อย ทำราวกับมันเป็นเจ้าของสถานที่เอง ซันนี่นั่งแหมะลงบนขอบหน้าต่าง เจ้ามัวริชในชุดพนักงานเฝ้าลิฟต์ นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ แกะกระดุมคอเสื้อ ไอ้หนูเอ๋ย  ผมชักปอดมากเกินไปแล้ว

    “เอาล่ะ เจ้านาย จ่ายมาซะ ผมต้องกลับไปทำงานต่อ”

    “ผมบอกคุณไปแล้วสิบเที่ยว ผมไม่ได้ติดหนี้คุณแม้แต่เซ็นต์หนึ่ง ผมให้เธอไปแล้วห้า__”

    เลิกพูดเลอะเทอะเสียที จ่ายมาซะดี ๆ”

    “ทำไมผมจะต้องให้เธออีกห้าเหรียญล่ะ” ผมถาม เสียงดังไปทั่วห้อง “คุณพยายามจะโขกอีกเหรอ”

    เจ้ามัวริชปลดกระดุมชุดเครื่องแบบออกหมด  เผยให้เห็นชุดข้างในมีแค่ปกเสื้อหลอกแต่ไม่มีส่วนลำตัวเสื้อเชิ้ต  รูปร่างมันอ้วนกลม มีขนดกฟูที่หน้าท้อง

    ไม่มีใครโขกใครหรอกนะมันพูด “จ่ายมาเลย เจ้านาย

    ไม่

    เมื่อผมตอบไปแบบนั้น มันลุกจากเก้าอี้แล้วแยื้องก้าวเข้ามาหาผมด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดาและสุดระอา  พระเจ้า ผมกลัวมากไปแล้ว  ผมแบบว่ากอดอก ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายอะไรนัก ถ้าผมไม่อยู่ในชุดเสื้อคลุมนอนนั่น

    จ่ายมาเถอะเจ้านาย”  มันเดินตรงมาที่ผมยืนอยู่ แล้วพูดว่าจ่ายมาเถอะเจ้านาย”  มันช่างปัญญานิ่มจริง  ๆ

    ไม่

    เจ้านายบังคับให้ผมต้องออกแรงด้วยเหรอ ผมไม่อยากจะทำอะไรอย่างนั้นหรอก แต่ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นเสียแล้ว”  มันพูด “นายเป็นหนี้เราห้าเหรียญ

    ผมไม่ได้เป็นหนี้คุณห้าเหรียญนะ”  ผมพูด

    ถ้าใช้กำลังกับผม  ผมก็จะร้องตะโกนสุดเสียงปลุกทั้งโรงแรมเลยล่ะ  รวมทั้งตำรวจด้วย”  เสียงของผมยังคงสั่นตะกุกตะกักยิ่งขึ้น

    “เอาเลย ตะโกนให้ลั่นไปเลยสิ  ได้เลย” เจ้ามัวริชพูด “อยากให้พ่อแม่คุณรู้เหรอว่าคุณมาค้างคืนกับกะหรี่ พวกลูกไฮโซอย่างคุณ”  มันก็คารมคมคายในแบบที่มันถนัด

    “อย่ามายุ่งกับผม  ถ้าคุณจะเอาสิบ มันก็ไม่ใช่อย่างที่ตกลงกัน แต่คุณ__”

    “จะให้เราหรือเปล่า”

    มันดันผมไปติดประตู เกือบจะยืนคร่อมผมอยู่แล้ว  เห็นพุงเต็มไปด้วยขนขยุกขยุย

    “ปล่อยผมนะ  ไปให้พ้นจากห้องผมเดี๋ยวนี้เลย”

    ผมเสียงแข็งกร้าว ขณะที่ยังกอดอกอยู่ โธ่เว้ยผมเหมือนไอ้เบี๊อกขนาดนั้นเลยหรือ

    จากนั้นซันนี่ก็เปิดปากบ้าง “เฮ้ มัวริช ให้ฉันค้นกระเป๋าเขาเอามั้ยล่ะ” เธอถาม “มันอยู่ตรงนั้นน่ะ”

    “เอาเลย ไปเอามา”

    “อย่าแตะต้องกระเป๋าผมนะ”

    “ฉันเอามาได้แล้วนี่ไง”

    ซันนี่พูด เธอหยิบธนบัตรห้าเหรียญมาโบกไหวไปมาตรงหน้าผม “เห็นเปล่า ฉันหยิบมาอีกแค่ห้าที่นายติดหนี้ฉัน  ฉันไม่ใช่พวกหัวขโมยนะจะบอกให้”

    เกือบทันใดผมเริ่มน้ำตาซึม ผมจะไม่ยอมให้อะไรทั้งนั้นถ้าผมไม่มีจะให้  แต่ผมจำต้องจ่ายจนได้  “ไม่ เธอไม่ได้เป็นหัวขโมยหรอก”  ผมบอก “เธอเพิ่งขโมยห้า__”

    “หุบปากซะ” เจ้ามัวริชตบบ่าผม

    “ปล่อยเขาเถอะ เฮ้” ซันนี่พูด  “พอที เราได้เงินที่เขาติดหนี้เราคืนแล้ว ไปกันเถอะ เอาน่า”

    “ก็ได้” เจ้ามัวริชพูดแต่ก็ยังทำรีรอไม่ไปเสียที

    “บอกตรง ๆ มัวริช เฮ้ อย่ายุ่งกับเขาเลย”

    “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

    มันพูดช่างไร้เดียงสาจริง  จากนั้นมันก็ขยุ้มนิ้วอย่างแรงกับเสื้อคลุมนอนผม  ผมบอกไม่ได้หรอกว่ามันขยุ้มเข้าตรงไหน  แต่มันเจ็บปวดแทบคลั่ง  ผมบอกมันว่าไอ้สวะโสโครก

     “อะไรวะ”  มันสำรากใส่ผม ป้องหูเหมือนฟังไม่ถนัด ราวกับเป็นคนหูตึง  “อะไรวะ ฉันเป็นยังไงเหรอ”

    ผมเหมือนจะร้องไห้ ท่าทางคงบ้าและประสาทกินเกินไป

    “นายมันไอ้ทึ่มไอ้ทึ่มโสโครก”  ผมสวนกลับ

    “นายมันไอ้พวกขี้โกงหน้าด้าน อนาคตไม่เกินสองปีนายก็จะเป็นแค่พวกกากเดนเร่ร่อนไปตามถนนแบมือขอเศษสตางค์ค่ากาแฟ เสื้อคลุมสกปรกเหม็นมีรอยปะไปทั่ว และนายจะ__”

    แล้วผมมันก็อัดผมอีกผลัวะ  ผมไม่คิดแม้แต่จะหลบ  รู้แต่ว่าหมัดลุ่น ๆ ของมันเข้าเต็มท้องอย่างเหมาะเหม็ง

    ผมไม่ถูกคว่ำเสียทีเดียว เพราะยังเหลือบเห็นทั้งสองออกจากห้องแล้วปิดประตูโครมไล่หลัง ผมลุกขึ้นจากห้องอย่างทุลักทุเลเหมือนกับที่ผมชกกับไอ้สแตรดเลเตอร์  เพียงแต่ว่าหนนี้ผมคิดว่าจะไม่รอดแล้ว จริง ๆ นะมันเหมือนคนจมน้ำหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง มันหนักหนาสาหัสขนาดที่ผมแทบจะขาดใจ กระทั่งลุกขึ้นได้ ผมต้องเดินไปห้องน้ำอย่างยากลำบาก เป็นทวีคูณ โดยที่มือกุมท้องไปด้วย

    แต่ผมเป็นเอามากสาบานหน้าพระเจ้า  ประมาณครึ่งทางถึงห้องอาบน้ำ  ผมเริ่มแสร้งทำเป็นว่ามีหัวกระสุนฝังอยู่ในช่องท้องผม  ความจริงเจ้ามัวริชเป็นคนอัดผม  ตอนนี้ผมเดินไปห้องอาบน้ำหาเหล้าเบอร์เบิ้นสักก๊งระงับประสาท ช่วยให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังแอ็คชั่นสมจริง  

    ผมมองเห็นภาพตัวเองออกจากห้องน้ำ  แต่งตัวเรียบร้อย มีปืนพกอยู่ในกระเป๋า  เดินเซแซ่ดเล็กน้อย  แล้วผมก็เดินลงบันไดแทนที่จะลงลิฟต์  ผมจับราวบันไดไปตลอด  มีคราบเลือดไหลย้อยจากมุมปากเล็กน้อยในตอนนั้น

    ผมทำอะไรต่อไปน่ะหรือ  ผมก็เดินลงไปได้สองสามชั้น มือกุมท้อง  เลือดเปรอะไปทั่วบริเวณ แล้วผมก็สั่งกระดิ่งลิฟต์

    ทันที่เจ้ามัวริชเปิดประตูออก  มองเห็นผมมีปืนแบบอัตโนมัติในมือ มันก็ส่งเสียงร้องผวาอย่างสุดเสียงตื่นตระหนกสุดขีด ร้องวอนผมอย่าทำอะไรมันเล แต่ผมก็ซัดหกนัดซ้อนเข้าพุงที่มีแต่ขนปุกปุย จากนั้นก็โยนปืนทิ้งลงทางช่องลิฟต์  

    หลังจากลายนิ้วมือแฝงแล้ว  ผมก็ย่องกลับเข้าห้องพัก แล้วโทรหาเจน เรียกเธอให้มาจัดการทำแผลให้  ผมวาดภาพเธอคีบบุหรี่ให้ผมสูบขณะที่เลือดยังไม่หยุดไหล

    หนังโคตรห่วยมันมีอิทธิพลครอบงำคุณอย่างหนัก นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น

    ผมอยู่ในห้องอาบน้ำนานกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อชำระล้างร่างกาย จากนั้นกลับขึ้นเตียงนอนสักพักหนึ่งก็ผล็อยหลับอย่างง่า่ยดายทั้งที่ไม่ได้เหนื่อยล้าเท่าไหร่  แต่ก็หลับลงจนได้

    ผมรู้สึกอย่างไรในตอนนี้น่ะหรือ

    ก็กังวลเหมือนคนฆ่าตัวตาย  รู้สึกเหมือนกระโดดจากหน้าต่าง บางทีรู้สึกเหมือนว่าทำอย่างนั้นไปแล้วเหมือนกัน ถ้า

    ผมแน่ใจว่าจะมีใครมาเก็บร่างผมในทันใดที่หล่นกระแทกพื้นแล้ว  ผมไม่ต้องการให้พวกชอบสอดรู้สอดเห็น พากันมามุงดูศพผมที่จมกองเลือดอย่างน่าอเนจอนาถลูกตาหรอก

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments