ตอน 22
ตอนผมกลับเข้ามา
เธอเอาหมอนออกจากใบหน้าแล้ว ผมรู้ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่เธอก็ยังทำเป็นเมินไม่มองผม แม้ว่าเธอจะนอนหงายอยู่ก็ตาม ตอนที่ผมเดินไปข้างเตียง แล้วนั่งลงอีกครั้ง เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เธอกำลังต่อต้านผมล่ะ เหมือนพวกนักฟันดาบที่เพนซี่ตอนที่ผมลืมอุปกรณ์ดาบฟอยล์สที่สถานีรถไฟใต้ดิน
“เฮเซล เวเธอร์ฟิลด์ อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” ผมถาม
“น้องเขียนเรื่องใหม่ ๆ ของเธอบ้างหรือเปล่า พี่ได้อ่านตอนหนึ่งที่น้องส่งมาให้ในกระเป๋าเสื้อผ้า มันหล่นอยู่ที่สถานีนั้นด้วย ดีมาก ๆ เลย”
“พ่อจะฆ่าพี่”
ไอ้หนูเอ๋ย เธอยังคงข้องใจ เมื่อยังมีอะไรติดค้างคาในใจ
“ไม่ พ่อจะไม่ทำหรอก สิ่งที่แย่ที่สุดที่พ่อจะทำ พ่อก็จะส่งพี่ไปนรกอีกหน แล้วก็จะส่งพี่ไปโรงเรียนฝึกทหาร พ่อจะทำกับพี่แค่นั้นเองประการแรกพี่จะไม่อยู่แล้ว พี่จะไปให้ไกล พี่จะไป__บางทีอาจไปโคโลราโด ไปที่ไร่ปศุสัตว์นั่น”
“อย่าพูดให้ขำเสียให้ยากเลย พี่ขี่ม้าไม่เป็นสักหน่อย”
“ใครล่ะไม่เป็น เป็นดิ พี่ขี่เป็น แน่นอนเลย เขาจะสอนให้ขี่ม้าเป็นภายในสองนาที”
ผมพูด “เลิกแกะนั่นซะที” เธอกำลังแกะพลาสเตอร์ปิดแผลที่แขน
“ใครตัดผมให้น้องล่ะนี่” ผมถาม สังเกตเห็นรอยตัดผมดูพิลึกดี ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตัดให้ มันดูสั้นเกินไป
“ไม่ใช่กงการอะไรของพี่” เธอพูด
เธอเป็นเด็กเฮี้ยวเอาการในบางครั้ง ขี้หงุดหงิดบ่อย ๆ
“หนูว่าพี่สอบตกทุกวิชาอีกแน่เลย”
เธออารมณ์บูด แต่ดูน่าขัน ท่าทางแบบนั้น เธอทำเสียงเหมือนครูบางคนในโรงเรียน ทั้งที่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
“ไม่เลย พี่ไม่ได้สอบตก” ผมบอก
“พี่สอบผ่านภาษาอังกฤษ” เท่านั้นเอง ผมหยิกข้างหลังเธออย่างจัง มันทิ่มแทงเข้าตอนเธอนอนหันข้างซึ่งไม่มีอะไรปิดบังหลัง ผมไม่ได้ทำแรงหรอก แต่เธอพยายามจะชกต่อยมือผม แต่ไม่ถูกเลย
ทันใด เธอโพล่งขึ้นมาว่า
“โอ๊ะ ทำไมพี่ทำอย่างนี้” เธอหมายถึงทำไมผมต้องโดนไล่ออกอีกแล้ว ม้นทำให้ผมรู้สึกเศร้าที่เธอถามเรื่องนี้
“พระเจ้า โฟบี้อย่าถามพี่เลย พี่เบื่อเต็มทนแล้วที่ทุกคนถามพี่แต่เรื่องนี้” ผมพูด
“มีเหตุผลเป็นล้านเลยว่าทำไม มันเป็นโรงเรียนที่แย่ที่สุดโรงเรียนหนึ่งที่พี่เคยไปเรียนมันเต็มไปด้วยพวกจอมปลอม พวกเด็กเลวๆ น้องไม่เคยเจอพวกเด็กเลวๆ มากขนาดนี้เลยในชีวิต
อย่างเช่นถ้ามีการจับกลุ่มสุมหัวกันในห้องของใครคนหนึ่ง และมีบางคนต้องการเข้าร่วมด้วยไม่มีใครยอมให้คนน้้นเข้ามาในห้องถ้าเจ้าคนนั้นท่าทางเฉิ่ม ๆ หน้าเต็มไปด้วยสิว ทุกคนจะล็อกประตูหากพวกนั้นอยากเข้ามา และถ้าพวกเขามีการสุมหัวกันลับ ๆ ที่พี่แหยงไม่กล้าเข้าร่วมด้วย
ในนั้นยังมีเจ้าหน้าสิวและแสนน่าเบื่ออย่างเจ้าโรเบิร์ต แอคลี่ย์ที่อยากเข้าร่วมกลุ่มด้วย มันกพยายามเหลือเกินที่จะเข้ากลุ่มกับเขาให้ได้ และพวกนั้นก็ไม่ยอมให้มันเข้าร่วมกลุ่ม เพียงเพราะว่าเจ้าหมอนี่หน้าเขรอะไปด้วยสิวแถมน่าเบื่อสุด ๆ พี่ไม่อยากคุยเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ มันเป็นโรงเรียนที่น่าเหม็นเบื่อจริง ๆ จำไว้เลย”
โฟบี้ไม่พูดอะไรอีก แต่เธอกำลังตั้งใจฟัง ผมบอกได้เลยว่ามองจากด้านหลังท้ายทอยผมรู้ว่าเธอนิ่งฟังอยู่ เธอมักจะฟังเสมอถ้าคุณเล่าอะไรให้เธอฟัง และที่ตลกดีเธอรู้ทันกว่าครึ่ง ไม่ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร เธอเป็นต้องรู้บ้างเสมอ
ผมยังคงคุยเรื่องที่เพนซี่ รู้สึกว่าผมชอบเล่าเรื่องราวเหล่านี้
“แม้แต่ครูดี ๆ ที่เป็นสามีภรรยากัน ก็ยังเป็นพวกจอมปลอมเหมือนกัน” ผมพูด
“มีแต่ครูแก่ ๆ คนหนึ่ง ท่านสเปนเซอร์ กับภรรยาของท่าน มักให้ดื่มช็อกโกแลตร้อนทั้งคู่น่ารักจริง ๆ แต่น้องน่าจะได้เห็นท่านตอนที่ครูใหญ่คุณเธอร์เมอร์ เข้ามานั่งข้างหลังห้องในขณะที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ เขามักจะเข้ามานั่งหลังห้องนานสักครึ่งชั่วโมง คงแอบเข้ามาทำอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นเขาจะนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็เริ่มพูดขัดขึ้นที่มิสเตอร์สเปนเซอร์พูด ทำให้อะไรเละเทะไปเลยด้วยมุกตลก ๆ จนมิสเตอร์สเปนเซอร์แทบอยากจะฆ่าเขา แล้วจับโยนทิ้งให้สะใจไปเลย ราวกับว่าคุณเธอร์เมอร์เป็นเจ้าชายที่แสนเลวหรืออะไรอย่างนี้แหละ
“อย่าสาบานมากนักล่ะ”
“ไม่ทำให้น้องเอียนหรอก พี่สาบานได้” ผมพูด
“ตอนวันทหารผ่านศึก เขามีวันนี้ด้วยแหละ วันทหารผ่านศึก พวกศิษย์เก่าของเพนซี่รุ่นประมาณปี 1776 กลับคืนสู่เหย้า มาเดินกันพล่านไปทั่วโรงเรียน มีครอบครัวลูก ๆ ทุก ๆ คน น้องน่าจะได้เห็นนะ ผู้ชายอายุราวห้าสิบคนนี้
เขาทำอะไรหรือ เขาก็เข้ามาในห้องเรียนของเราและเคาะประตู ถามเราว่าจะเป็นอะไรมั้ยถ้าจะขอใช้ห้องน้ำห้องน้ำอยู่ตรงสุดระเบียงทางเดิน พี่ล่ะงงฉิบ ทำไมต้องมาถามพวกเราด้วย
น้องรู้มั้ยว่าเขาพูดอะไร เขาพูดว่าเขาต้องการดูชื่อย่อที่เขาเขียนว่ายังคงอยู่ที่ประตูห้องน้ำหรือไม่ เขาทำอะไรหรือ ก็ขูดสลักชื่อเขาที่แสนจะห่วยแตกบนบานประตูห้องน้ำ นานราวสักเก้าสิบปีมาแล้วล่ะมั้ง ก็แค่อยากมาดูว่ามันยังอยู่ตรงนั้นก็เท่านั้นเอง
พวกเพื่อนๆ กับพี่ก็พากันไปที่ห้องน้ำ และเราก็ต้องยืนคอยขณะที่เขาดูรอยสลักชื่อของเขาที่บานประตูห้องน้ำ เขาพูดกับเราเรื่อยเปื่อยตลอดเวลา เล่าให้เราฟังว่ามันเป็นช่วงแห่งความสุขที่สุดในชีวิตเลยทีเดียวตอนที่เรียนอยู่ที่เพนซี่ แล้วก็ให้คำแนะนำถึงอนาคตแก่พวกเราอย่างยืดยาว
ไอ้หนูเอ๊ย มันน่าอึดอัดล่ะไม่ว่า พี่ไม่ได้ว่าเขาไม่ดีหรอกนะ ไม่เลย แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นคนไม่ดีที่จะทำให้คนอื่นอึดอัดใจได้ เป็นคนดีๆ ก็ทำอย่างนั้นได้เหมือนกันทั้งหมดที่น้องต้องทำเพื่อให้คนอื่นอึดอัดใจก็เพียงให้คำแนะนำปรึกษาในเรื่องโกหกหลอกลวง ไม่จริงใจ ขณะที่น้องมองหารอยสลักชื่อที่ประตูห้องน้ำยังไงล่ะ ทำแค่นั้นเอง
ไม่รู้สิ มันอาจไม่เลวร้ายมาก ถ้าเขาไม่เหนื่อยแทบขาดใจเสียก่อน เขาแทบหายใจไม่ทันตอนเดินขึ้นบันได และตลอดเวลาที่มองหารอยสลักชื่อของเขานั้น เขาหายใจฟืด ๆ รูจมูกบานดูตลกปนเศร้าพิกล
ขณะที่กำลังเล่าให้เจ้าสแตรดเลเตอร์และพี่ว่าจะทำอะไรตอนที่เราจบจากเพนซี่ โธ่เอ๋ย โฟบี้ พี่บอกไม่ถูกเลย พี่แค่ไม่ชอบอะไรที่เกิดขึ้นในเพนซี่ พี่อธิบายไม่ถูกเลย”
โฟบี้ พูดขึ้นบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ยินเธอเลย เธอยังคงพูดติดกับหมอน ผมจึงไม่ได้ยินเสียงเธอ
“อะไรนะ” ผมถาม
“เอาปากออกจากหมอนสิ พี่ไม่ได้ยินน้องพูดเลย ถ้าปากแนบกับหมอนแบบนั้น”
“พี่ไม่เคยชอบอะไรเลยที่เกิดขึ้น”
มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจเมื่อเธอพูดอย่างนั้นกับผม
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว แน่นอน อย่าพูดอย่างนั้น น้องจะพูดอย่างนั้นทำไมหือ”
“เพราะว่าพี่ไม่ชอบน่ะสิ ไม่ชอบโรงเรียนไหนเลย พี่ไม่ชอบล้าน ๆ อย่างเลยรู้หรือเปล่า”
“ไม่เลย น้องผิดไปแล้ว ผิดแท้ ๆ เลย ทำไมน้องจะต้องพูดอย่างนั้นด้วยล่ะ” ผมพูด ไอ้หนูเอ๋ย เธอกำลังกดดันผมอยู่นี่นะ
“เพราะว่าพี่ไม่ชอบน่ะสิ” เธอพร่ำ “เอ่ยมาสักอย่างสิ”
“อย่างหนึ่งเหรอ อย่างหนึ่งที่พี่ชอบเหรอ” ผมพูด “ก็ได้”
มันแย่ตรงที่่ว่าผมเกิดอารมณ์รุ่มร้อนไม่มีสมาธิ มันยากที่จะรวบรวมสมาธิในบางเวลา
“สิ่งหนึ่งที่พี่ชอบมากอย่างนั้นเหรอ” ผมย้ำทวน
เธอไม่ตอบผม เธออยู่อีกฟากของเตียงนอน ห่างไปราวสักห้าพันไมล์ทีเดียว
“เถอะน่า ตอบพี่หน่อย” ผมพูด “สิ่งหนึ่งที่พี่ชอบมาก หรือสิ่งที่แค่ชอบเท่านั้น”
“พี่ชอบมาก ๆ”
“ก็ได้” ผมตอบ
แต่มันแย่ตรงที่ผมเสียสมาธิ ทั้งหมดที่ผมนึกออกก็มีเพียงเรื่องแม่ชีสองคนที่ออกไปเรี่ยไรเงินบริจาคที่หิ้วตะกร้าฟางทรงเชย ๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นตากรอบโลหะ และเด็กผู้ชายที่ผมรู้จักที่เอลค์ตัน ฮิลล์ส
มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เอลค์ตัน ฮิลล์ส ชื่อ เจมส์ คาสเซิล ที่ไม่ยอมหยิบฉวยอะไรจากเด็กอีกคนหนึ่งที่เขามักเอ่ยถึงว่าเป็นพวกอวดหยิ่งชื่อ เจ้าฟิล สเตไบล์ เจมส์ คาสเซิล เรียกเจ้านี่ว่าไอ้หนุ่มจอมอวดดี
และหนึ่งในเพื่อนของสเตไบล์ที่ไปฟ้องสเตไบล์เรื่องเจมส์พูดถึง ดังนั้นเจ้าสเตไบล์พร้อมลูกสมุนกเฬวรากอีกหกคน พากันไปที่ห้องของเจมส์ คาสเซิลเข้าไปแล้วก็ล็อกประตูห้องพยายามบังคับให้ถอนคำพูด แต่เขาไม่ยอมทำตาม พวกนั้นจึงรุมสกรัมเขา
ผมจะไม่บอกว่าพวกมันทำอะไรกับเขา มันน่าขยะแขยง แต่เขาก็ยังไม่ยอมถอนคำพูด เจ้าเจมส์ คาสเซิล คุณน่าจะเจอเขา เขาเป็นคนรูปร่างผอมบางท่าทางอมโรค ข้อมือเล็กราวกับแท่งดินสอ
ในที่สุดเขาทำอะไรน่ะหรือ แทนที่จะถอนคำพูด เขากลับกระโดดพุ่งออกทางหน้าต่าง วิทยุหรือโต๊ะเขียนหนังสือ หรืออะไรบางอย่าง ไม่ใช่เด็กผู้ชายแน่ ๆ
แล้วผมก็ได้ยินเสียงทุก ๆ คนวิ่งดังโครมครามไปตามระเบียงทางเดิน และลงไปข้างล่าง ผมเลยสวมชุดคลุมอาบน้ำวิ่งตามลงไปด้วยเหมือนกัน
ตรงนั้นพบร่างของเจ้าเจมส์ คาสเซิล นอนอยู่กับแผ่นหินปูทางเดิน เขาตายแล้วล่ะฟันของเขา เลือด กระจายไปทั่วบริเวณนั้น
ไม่มีใครสักคนเข้าไปดูเขาใกล้ ๆ เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าที่ผมให้เขายืมไปเลย ทางโรงเรียนทำได้ก็เพียงแค่ไล่พวกนั้นออกเท่านั้นเอง พวกนั้นไม่ได้ถูกส่งเข้าคุกเลยสักคน
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ผมนึกขึ้นได้ แม่ชีสองคนที่ผมเจอตอนกินอาหารเช้าและเจ้าเจมส์ คาสเซิล ที่ผมรู้จักที่เอลค์ตัน ฮิลล์ส มันน่าตลกตรงที่ผมแทบจะไม่รู้จักเจ้าเจมส์ คาสเซิล
ถ้าคุณอยากรู้ความจริง เขาเป็นคนที่นิสัยรักสงบ เขาเรียนคณิตศาสตร์ร่วมกับผม แต่เขาอยู่อีกฟากของห้อง แทบไม่เคยลุกขึ้นตอบปากเปล่าหรือไปยืนหน้ากระดานดำเลย ผมคิดว่ามีอยู่ครั้งเดียวที่ผมเคยคุยกับเขาก็ตอนที่เขาถามผมว่าจะขอยืมเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าที่ผมมีได้มั้ย ผมแทบหงายหลังผึ่งตอนที่เขาถามผม
ประหลาดใจที่สุดเลย จำได้ว่าเขาถามผมตอนแปรงฟันอยู่ในห้องอาบน้ำ เขาพูดว่าญาติคนหนึ่งจะแวะมาเยี่ยมเขา พาไปนั่งรถเล่น ผมไม่รู้เลยว่าเขารู้ได้ไงว่าผมมีเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าเมื่อไหร่
ทั้งหมดที่ผมรู้จักเขาก็แค่ชื่อของเขาอยู่ลำดับก่อนผมตอนขานชื่อในห้องเท่านั้นเอง เคเบล อาร์., เคเบล ดับเบิ้ลยู., คาสเซิล, คอลฟีลด์__ ผมยังจำได้ถ้าคุณต้องการจะรู้ความจริงล่ะก้อ ผมเกือบจะไม่ให้เขายืมเสื้อสเวตเตอร์ เพียงแค่ผมไม่รู้จักเขาดีพอเท่านั้น
“อะไรนะ” ผมพูดกับโฟบี้ เธอพร่ำอะไรบางอย่างกับผม แต่ผมก็ไม่ได้ยินเสียงเธอ
“พี่คิดไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว”
“คิดออกสิ พี่คิดออก”
“งั้นบอกมาซิ ถ้ายังงั้น”
“พี่ชอบแอลลี่” ผมพูด “และพี่ก็ชอบอย่างที่พี่ทำเวลานี้ไง นั่งอยู่กับน้อง แล้วก็คุยกัน และก็คิดถึงเรื่องต่าง ๆ และ__”
“แอลลี่ตายไปแล้ว พี่พูดแบบนั้นเสมอยังไง ถ้าใครบางคนตายจาก ในห้วงสวรรค์ แล้วมันก็ไม่__”
“พี่รู้ว่าเขาตายแล้ว คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอ พี่ยังชอบเขาอยู่นี่ ไม่ได้เหรอ เพียงแต่เขาตายแล้ว ต้องไม่หยุดชอบเขา ให้ตายสิ โดยเฉพาะถ้าเขาเป็นคนดีกว่าพัน ๆ เท่าของคนทั่วไปที่น้องรู้จักที่ยังมีชีวิตอยู่”
โฟบี้นิ่งเงียบ ตอนที่เธอนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร เธอก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว
“นั่นไม่มีความหมายเลย”
“มันมีอยู่จริง ๆ แน่นอนมันใช่ ทำไมมันจะไม่มีอะไรล่ะ หือ คนทั่วไปไม่เคยคิดว่าไม่ว่าอะไรก็ตามก็ยังคงอยู่ พี่ล่ะเบื่อจริง ๆ เรื่องนี้”
“หยุดสาบานนะ งั้นพี่บอกมาอีกสักอย่างหนึ่งสิ บอกมาว่าพี่อยากเป็นอะไรอีก อย่างนักวิทยาศาสตร์ หรือทนายความหรืออะไรก็ได้”
“พี่เป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้หรอก เรื่องวิทยาศาสตร์พี่ไม่ค่อยได้เรื่อง”
“งั้นทนายความล่ะ อย่างที่คุณพ่อทำอยู่นี้”
“ทนายความเหรอ พอได้มั้ง แต่มันก็ไม่น่าสนใจหรอก” ผมบอก
“พี่หมายความว่าก็ใช้ได้ ถ้าพวกทนายความจะช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ตลอดอะไรอย่างนั้น แต่น้องจะต้องไม่ทำอย่างนั้น ถ้าน้องเป็นทนายความ ทั้งหมดที่น้องจะต้องทำคือหาเงินให้ได้มาก ๆ แล้วไปตีกอล์ฟหรือเล่นไพ่บริดจ์ ซื้อรถหลายคัน ดื่มมาร์ตินี แล้วก็ทำตัวแบบพวกคนดังและอีกหลาย ๆ อย่าง แม้ว่าน้องจะได้ช่วยชีวิตใครบางคน
แต่จะรู้ได้อย่างไรล่ะถ้าน้องทำอย่างนั้นเพราะว่าน้องต้องการช่วยชีวิตคนอย่างจริงจัง หรือว่าที่น้องทำเพียงเพราะต้องการทำเพื่อเป็นทนายความที่ยอดเยี่ยม ที่ทุกคนกล่าวขานถึงและแสดงความยินดียกย่องเชิดชูเมื่อคดีความสิ้นสุดลงจากนักข่าวและคนทั่วไป เหมือนอย่างที่เห็นในหนังห่วย ๆพวกนั้น
น้องจะรู้ได้อย่างไรว่าน้องไม่ได้เป็นแบบพวกจอมปลอมตอแหลปลิ้นปล้อน มันแย่มากตรงที่น้องไม่รู้ตัวเองหรอก”
ผมไม่แน่ใจนักว่าโฟบี้จะเข้าใจว่าผมคุยเรื่องห่าเหวอะไร ก็เธอเป็นเพียงเด็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างน้อยเธอก็นั่งฟัง ถ้าใครนั่งฟังอย่างน้อยมันก็ไม่เลวนักหรอก
“พ่อจะฆ่าพี่แน่ พ่อจะฆ่าพี่แน่” เธอโพล่งขึ้นมา
ผมไม่ได้ฟัง ผมกำลังคิดถึงอะไรสักอย่าง อะไรที่บ้า ๆ “น้องรู้มั้ยว่าพี่อยากเป็นอะไร”
ผมพูด “น้องรู้มั้ยว่าพี่อยากเป็นอะไร พี่หมายถึงถ้าพี่มีทางเลือกนะ”
“อะไรล่ะ เลิกสาบานนะ”
“น้องรู้จักเพลง ‘ถ้าคนหนึ่งไล่ต้อนจับคนที่วิ่งผ่านทุ่งข้าวไรย์’ พี่ชอบ__”
“ม้นคือ ‘ถ้าคนหนึ่งพบอีกคนหนึ่งผ่านท้องทุ่งข้าวไรย์’” โฟบี้พูด
“มันเป็นโคลงกลอนของโรเบิร์ต เบิร์นส์ ต่างหากล่ะ”
เธอถูกเผง มันคือ ‘ถ้าคนหนึ่งพบอีกคนหนึ่งผ่านท้องทุ่งข้าวไรย์มา ผมกลับไม่ยักรู้จักแฮะ
“พี่คิดว่ามันชื่อ ‘ถ้าคนหนึ่งไล่จับอีกคน’” ผมพูด
“ยังไงก็ตามพี่นึกภาพว่ามีพวกเด็ก ๆ กำลังเล่นสนุกสนานกับเกมในทุ่งข้าวไรย์ผืนกว้าง มีเด็กเล็ก ๆ นับพันคนแล้วก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ไม่มีพวกผู้ใหญ่ พี่หมายถึง นอกจากตัวพี่คนเดียว และพี่ก็ยืนอยู่ตรงริมขอบหน้าผาสูงชัน
สิ่งที่พี่ต้องทำภารกิจ พี่ต้องคอยวิ่งไล่คว้าจับเด็กๆ ทุกคน ถ้าพวกเขาวิ่งไปยืนอยู่ตรงขอบหน้าผาสูง พี่หมายถึงถ้าพวกเขากำลังวิ่งเล่นและก็ไม่รู้ว่ากำลังวิ่งไปตรงไหน พี่ก็จะโผล่ออกมาจากไหนสักแห่ง ไล่ตะครุบตัวเด็กๆเหล่านั้นไว้ มันคือภารกิจที่พี่ต้องทำตลอดทั้งวัน
พี่จะเป็นเพียงนักไล่คว้าในทุ่งข้าวไรย์พี่รู้อยู่หรอกว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พี่อยากจะเป็นจริง ๆ พี่รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องพิลึกดี”
โฟบี้ไม่พูดอะไรอีกเป็นเวลานาน จากนั้นเมื่อเธอเอ่ยปากขึ้น ที่เธอพูดก็คือ
“พ่อจะต้องฆ่าพี่แน่นอน”
“พี่ไม่สนหรอกถ้าพ่อจะทำอย่างนั้น”
ผมพูด ผมลุกจากเตียง เพราะว่ามีสิ่งที่ผมต้องการจะทำ ผมต้องการโทรศัพท์ไปหาคน ๆ นี้ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษของผมที่เอลค์ตัน ฮิลล์ส คุณแอนโทลินี่ เขามาอยู่ที่นิวยอร์กในตอนนี้ หลังลาออกจากเอลค์ตัน ฮิลล์ส เขาได้งานสอนภาษาอังกฤษที่ เอ็น.วาย.ยู.
“พี่จะโ่ทรศัพท์หน่อยนะ” ผมบอกโฟบี้
“เดี่๋ยวพี่กลับมา อย่าเพิ่งนอนเสียล่ะ” ผมไม่อยากให้เธอหลับขณะที่ผมยังอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ผมรู้ว่าเธอไม่หลับหรอก แต่ก็บอกไปเพื่อความแน่ใจ
ขณะที่ผมเดินไปที่ประตู โฟบี้เอ่ยว่า
“โฮลเด้น”
ผมหันขวับ
เธอลุกนั่งบนเตียง ดูน่ารักดี
“หนูได้วิธีเรอจากเด็กผู้หญิงชื่อฟิลลิส มาร์กูลี่ย์ส” เธอว่า “ฟังนะ”
ผมนิ่งฟัง แล้วก็ได้ยินบางสิ่ง แต่ก็ไม่ชัดนัก
“เยี่ยม”
ผมพูดแล้วก็ออกไปที่ห้องนั่งเล่น โทรไปหาครูแอนโทลินี.