ตอน 24
ครูแอนโทลินีและภรรยามีอพาร์ตเมนต์หรูอยู่ตรงชัตตัน เพลส
ออกแบบแบบเล่นระดับที่ต้องก้าวลงบันไดสองขั้นไปยังห้องนั่งเล่นและบาร์เครื่องดื่ม ผมเคยไปที่นั่นสักสองสามครั้งเห็นจะได้ เพราะว่าหลังออกจากเอลค์ตัน ฮิลล์ส ครูแอนโทลินีมารับประทานอาหารค่ำที่บ้านของเราบ่อยครั้ง เพื่อดูว่าผมดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป
ตอนนั้นท่านยังไม่ได้แต่งงาน หลังจากแต่งงาน ผมเคยไปตีเทนนิสกับท่านและภรรยาอยู่บ่อย ๆ ที่เวสต์ไซต์ เทนนิส คลับ ในฟอเรสต์ ฮิลล์ส ลองไอส์แลนด์
คุณนายแอนโทลินีเป็นเจ้าของที่นั่น เธอร่ำรวยมหาศาล อายุมากกว่าครูแอนโทลินีสักหกสิบปีเห็นจะได้แต่ทั้งคู่ดูเข้ากันได้ดี อย่างแรกทั้งสองเป็นคนมีคุณวุฒิ โดยเฉพาะครูแอนโทลินี เว้นแต่ว่าท่านมีความฉลาดเฉลียวกว่าพวกทรงภูมิปัญญา ตอนที่คุณอยู่กับท่าน เหมือนๆกับ ดี.บี. คุณนายแอนโทลินีก็เป็นคนจริงจัง เธอเป็นโรคหืดรุนแรง
ทั้งสองอ่านเรื่องของ ดี.บี. เมื่อตอนดี.บี.ไปฮอลลีวูด ครูแอนโทลินีโทรไปหาเขา และบอกเขาว่า อย่าไปเลย แต่ถึงยังไงเขาก็ไปอยู่ดี แม้ว่าครูแอนโทลินีบอกว่าใครก็ตามที่เขียนนิยายได้อย่าง ดี.บี. ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปอยู่ฮอลลีวูดเลย มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ผมต้องเดินไปบ้านของพวกท่าน เพราะผมไม่ต้องการใช้จ่ายเงินคริสต์มาสของโฟบี้ที่ไม่จำเป็น แต่ผมรู้สึกสนุกตอนออกมาข้างนอก แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็น ผมโบกแท็กซี่ ผมไม่ต้องการทำอย่างนั้น แต่ก็ทำไปแล้ว ผมมีเวลาถมเถพอที่จะหาแท็กซี่สักคัน
ครูแอนโทลินีขานรับตอนที่ผมสั่นกระดิ่ง หลังจากที่ไอ้เวรคนเฝ้าลิฟต์อนุญาตให้ผมขึ้นไปหา ท่านสวมชุดคลุมอาบน้ำและรองเท้าแตะและมือข้างหนึ่งถือแก้ววิสกี้ ท่านเป็นทั้งผู้ทรงภูมิปัญญา และนักดื่มตัวฉกาจ
“โฮลเด้น พ่อหนุ่ม” ท่านพูด “โอ้โฮ เธอสูงขึ้นตั้งยี่สิบนิ้วแน่ะ ดีจังได้เจอเธออีก”
“สบายดีมั้ยครับคุณแอนโทลินี แล้วคุณนายแอนโทลินีล่ะครับ”
“เราก็สบายดีทั้งคู่แหละ เอาเสื้อโค้ตมานี่สิ” ท่านถอดเสื้อโค้ตให้ผมแล้วเอาไปแขวน
“ฉันคาดว่าจะเจอเธออุ้มเด็กเล็ก ๆ มาด้วยไม่มีที่ไปแล้วเหรอนี่ ดูสิเกล็ดหิมะติดอยู่ที่คิ้วของเธอด้วย”
ท่านเป็นคนไหวพริบดีมากในหลาย ๆ ครั้งที่ได้พบ ท่านหันกลับตะโกนไปทางห้องครัว
“ลิเลียน กาแฟเสร็จแล้วหรือยัง” ลิเลียนเป็นชื่อของคุณนายแอนโทลินี
“เสร็จแล้วจ้ะ” เธอขานตอบ “นั่นโฮลเด้นใช่มั้ย หวัดดีนะโฮลเด้น”
“หวัดดีครับคุณนายแอนโทลินี”
คุณต้องตะโกนเสมอตอนที่อยู่ที่นั่น เป็นเพราะทั้งสองไม่เคยจะอยู่ในห้องเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน มันก็ตลกดีเหมือนกัน
“นั่งสิโฮลเด้น” คุณนายแอนโทลินีเชื้อเชิญ
คุณพูดได้เลยว่าเขาชักขาดความคล่องแคล่วแล้ว ห้องหับดูราวกับเพิ่งจัดงานปาร์ตี้มาไม่นาน แล้ววางเกลื่อนไปทั่ว จานใส่ถั่วด้วย
“ขอโทษทีนะที่อะไร ๆ เกลื่อนไปหมด” ท่านเอ่ยขึ้น “ เราเพิ่งเลี้ยงต้อนรับพรรคพวกเพื่อนฝูงของคุณนายแอนโทลินี__พวกควายนั่นแหละ”
ผมรู้สึกขำมาก ๆ ขณะที่คุณนายแอนโทลินีตะโกนออกมาจากห้องครัวถามผม แต่ผมไม่ยักจะได้ยินเสียงของเธอ
“เธอพูดอะไรครับ” ผมถามครูแอนโทลินี
“เธอบอกว่าอย่ามองดูเธอตอนที่เธอเดินเข้ามาน่ะ เธอเพิ่งลุกจากที่นอน สูบบุหรี่มั้ย ตอนนี้เธอยังสูบอยู่หรือเปล่า”
“ขอบคุณครับ” ผมตอบ หยิบบุหรี่จากกล่องที่ท่านยื่นให้
“นาน ๆ ครั้งครับ ผมค่อย ๆเพลาลงบ้างแล้วครับ”
“ฉันเชื่อล่ะ” ท่านเอ่ย
ท่านจุดบุหรี่ด้วยที่จุดบุหรี่ตั้งโต๊ะ “แล้วเธอกับเพนซี่ก็ขาดกันเลยสินะ” ท่านพูดขึ้น
ท่านมักพูดอย่างนี้เสมอบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกขำบ้างและบางครั้งก็ไม่เลย ท่านทำอย่างนี้บ่อย ๆ ผมไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นคนไม่ฉลาดหรอกท่านน่ะฉลาด แต่บางทีมันก็ทำให้กวนประสาทคุณอยู่บ้าง เมื่อมีใครมาพูดอย่างนี้เสมอ อย่างเช่น
“งั้นเธอกับเพนซี่ก็ขาดจากกันแล้วสิ__” ดี.บี.ก็เคยพูดอย่างนี้บ่อย ๆ เหมือนกัน
“มันแย่ยังไงล่ะ” ครูแอนโทลินีถามผม
“ภาษาอังกฤษเป็นยังไง ฉันจะบอกเคล็ดลับให้ถ้าเธอสอบตกวิชาภาษาอังกฤษ เธอใช้ได้บ้างในการเขียนเรียงความ”
“โอ๊ะ ผมสอบผ่านภาษาอังกฤษอยู่แล้วครับ เป็นพวกวรรณคดีเกือบท้้งหมด ผมเพียงแค่เขียนเรียงความการใช้ภาษาอังกฤษเขาเปิดคอร์สวิชานี้ด้วย การใช้ภาษาอังกฤษปากเปล่า นั่นแหละที่ผมสอบตกล่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ผมไม่อยากสาธยายให้มากไปกว่านั้น ผมกำลังหัวปั่นนั่นเอง เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นในทันใด ผมเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่คุณบอกได้เลยว่าท่านกำลังตั้งใจฟังอยู่ ดังนั้นผมจึงเล่าต่ออีกเล็กน้อย
“วิชานี้พวกนักเรียนแต่ละคนจะต้องลุกขึ้นยืนในชั้นเรียนและกล่าวปาฐกถาสั้น ๆ ใช่มั้ยล่ะ เป็นไปตามธรรมชาติของใครของมัน ถ้าเด็กคนไหนพูดออกนอกเรื่อง คุณก็ตะโกนใส่เขาเลยว่า ‘นอกประเด็น’ให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้ มันทำให้ผมแทบบ้าผมได้เอฟในวิชานี้”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ ไอ้ที่ว่านอกประเด็นมันวนเวียนอยู่ในหัวผม ผมไม่รู้สิ ที่แย่สำหรับผมตรงที่ผมดันชอบตอนที่คนนั้นพูดนอกประเด็น มันน่าสนใจมากกว่าเสียอีกครับ”
“เธอไม่สนใจเลยเหรอว่าคนพูดจะต้องพูดตรงจุดมุ่งหมาย เมื่อเขาเล่าอะไรให้เธอฟังสักอย่าง”
“โอแน่นอนครับ ผมชอบให้คนพูดตรงประเด็นเหมือนกัน แต่ผมไม่ชอบให้ตรงมากเกินไปหรอก ยังไงไม่รู้สิ ผมคิดว่าผมไม่ค่อยชอบตอนที่บางคนพูดได้ตรงเป้าเป๊ะ ๆ ตลอดเวลา เด็กนักเรียนที่ได้คะแนนดีที่สุดในวิชาภาษาอังกฤษปากเปล่า ก็เป็นคนที่พูดได้ตรงจุดมุ่งหมายทั้งหมด ผมยอมรับ
แต่มีเด็กหนึ่งชื่อ ริชาร์ด คินเซลลา พูดไม่ค่อยตรงประเด็นนัก แล้วก็โดนโห่ใส่ว่า ‘นอกเรื่อง’ มันน่ากลัวครับ
เพราะว่าอย่างแรกเขายิ่งเกิดอาการเกร็งมากขึ้น ซึ่งเขาเป็นคนประเภทขี้ตื่นอยู่แล้ว ปากสั่นพั่บ ๆ ตลอดเวลาพูด
คุณแทบไม่ได้ยินเสียงเขาเลยถ้านั่งอยู่หลังห้อง ตอนที่ปากเขาไม่สั่น ผมชอบบทปาฐกถาของเขามากกว่าทุกคนเสียอีก เขาก็สอบตกวิชานี้เหมือนกัน ได้แค่ดีบวก เพราะว่าไอ้พวกนั้นเอาแต่ตะโกน ‘นอกเรื่อง’ ใส่เขาอยู่นั่นแล้ว
อย่างเนื้อหาที่เขาใช้ปาฐกถาเกี่ยวกับฟาร์มที่พ่อซื้อไว้ที่เวอร์มอนต์ พวกนั้นก็ตะโกน ‘นอกเรื่อง’ใส่เขาตลอดเวลา แล้วครูวินสันก็ให้เอฟเขา เพราะว่าเขาไม่ได้บอกว่าเลี้ยงสัตว์อะไรบ้างหรือปลูกพืชผักอะไรบ้างสิ่งที่เขาทำคือ ริชาร์ด คินเซลลา เริ่มพูดถึงเรื่องพวกนี้
แล้วพลันก็หันไปเล่าเรื่องจดหมายที่แม่ของเขาได้รับจากลุง บอกเล่าเรื่องลุงป่วยเป็นโรคโปลิโอ ขณะอายุได้สี่สิบสองปี และว่าไม่ต้องการให้ใครมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลเพราะว่าลุงไม่ต้องการให้ใครเห็นในสภาพถือไม้ค้ำยัน
มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับฟาร์มเลย ก็ใช่ แต่มันฟังเข้าท่าทีเดียวล่ะ มันฟังดูดีจังที่ใครมาเล่าเรื่องลุงของเขาให้ฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาเริ่มต้นเล่าด้วยเรื่องฟาร์มของพ่อและแล้วพลิกไปสร้างความน่าสนใจด้วยเรื่องลุงของเขา ผมว่ามันไม่ค่อยดีที่จะไปตะโกนใส่เขาว่า ‘นอกเรื่อง’ ทั้งที่เขาก็เป็นคนดีและมีอาการประหม่ามาก__ผมไม่รู้สิ มันยากที่จะอธิบาย”
ผมไม่รู้สึกอยากจะเล่าต่อไปอีกเหมือนกัน อย่างหนึ่งล่ะผมเกิดอาการปวดหัวขึ้นอย่างฉับพลัน ผมภาวนาว่าคุณนายแอนโทลินีจะนำกาแฟมาเสิร์ฟ เรื่องนี้ม้นรบกวนประสาทผมมาก ผมหมายความว่าใครบางคนเดินมาพูดว่ากาแฟเสร็จเรียบร้อยแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
“โฮลเด้น__ขอถามสั้น ๆ แบบคำแนะนำ เธอไม่คิดเลยว่ามันต้องมีกาลเทศะในทุก ๆ สิ่ง เธอไม่คิดบ้างหรึอว่าหากใครเริ่มเล่าเรื่องฟาร์มของพ่อ เขาก็ควรมุ่งเน้นให้ตรงประเด็น จากนั้นจึงค่อยเลียบเคียงเล่าเรื่องไม้ค้ำของคุณลุงไม่ใช่หรือ หรือว่าหากไม้ค้ำยันของลุงเป็นหัวเรื่องใหญ่ เขาควรจะตั้งเป็นชื่อเรื่องในตอนแรกด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เรื่องฟาร์มนั่น”
ผมไม่อยากคิดหรือตอบคำถามเลย ผมปวดศีรษะและท่าจะไม่ค่อยสบาย แถมยังปวดท้องอีกด้วย ถ้าอยากรู้ความจริง
“ครับผมไม่ทราบ ผมคิดว่าเขาควรจะทำอย่างนั้น เขาควรเลือกเรื่องลุงของเขาเป็นหัวข้อแทนที่จะใช้เรื่องฟาร์ม ถ้าว่ามันทำให้เขาสนใจมากที่สุด แต่ที่ผมหมายถึงคือ หลายหนที่คุณไม่รู้เลยว่าอะไรที่ทำให้คุณสนใจมากที่สุด จนกว่าคุณจะเริ่มพูดคุยถึงบางสิ่งที่ไม่ได้ทำให้คุณสนใจมากที่สุดนั่นแหละ คุณไม่รู้เลยในบางครั้ง
ที่ผมคิดเห็นคือ คุณต้องปล่อยให้คนบางคนอยู่ตามลำพังบ้าง ถ้าเขากำลังให้ความสนใจบางสิ่งและเขาเกิดอาการตื่นเต้นกับสิ่งนั้นมันดีนะ
คุณไม่รู้จักคุณครูท่านนี้หรอก คุณวินสัน เขาทำให้คุณเบื่อเซ็งในบางครั้งเหมือนกัน ทั้งเขากับเพื่อนร่วมชั้น ผมหมายถึงว่าเขาคอยแต่จะบอกให้คุณรวบรวมและทำให้กระชับง่าย ๆ ตลอดเวลา บางอย่างที่คุณทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณแทบจะไม่อาจทำอะไรให้ง่าย ๆ และเป็นอ้นหนึ่งอันเดียว เพียงเพราะมีบางคนต้องการให้คุณทำ คุณไม่รู้จักชายคนนี้ดี คุณวินสัน เขาเป็นฉลาดมากคนหนึ่ง แต่บอกได้เลยว่า เขามีมันสมองไม่มากนักหรอก”
“กาแฟ สุภาพบุรุษทั้งหลาย เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
คุณนายแอนโทลินีเอ่ยขึ้น ขณะเดินยกถาดถ้วยกาแฟและเค้กเข้ามาในห้อง “โฮลเด้นนี่เธอไม่เห็นเหรอ ฉันยุ่งแค่ไหน”
“หวัดดีครับคุณนายแอนโทลินี” ผมพูดทักพร้อมกับลุกขึ้น
แต่ครูแอนโทลินีดึงเสื้อแจ็กเกตไว้ให้ผมนั่งลง ผมของคุณนายแอนโทลินีเต็มไปด้วยม้วนดัดผมทำด้วยโลหะ เธอไม่ได้ทาลิปสติกหรือผัดแป้งแต่งหน้าเลย เธอดูไม่น่ารังเกียจหรอก เพียงแต่ดูชรามากขึ้น
“ฉันจะวางถ้วยกาแฟไว้ตรงนี้ล่ะนะ จัดการกันได้เลยทั้งคู่นั่นแหละ”
เธอบอก วางถาดลงบนกล่องใส่บุหรี่ แล้วเอาแก้วต่าง ๆ ที่วางเกลื่อนออกจากโต๊ะ “คุณแม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้างล่ะโฮลเด้น”
“ก็สบายดีครับ ขอบคุณครับ ผมไม่ค่อยได้พบเธอบ่อยนัก แต่ครั้งสุดท้ายที่ผม__”
“ที่รัก ถ้าโฮลเด้นต้องการอะไร ทุก ๆ อย่างอยู่ในตู้เสื้อผ้าชั้นบนสุด ฉันเข้านอนก่อนนะ ฉันเพลียเหลือเกิน”
คุณนายแอนโทลินีเอ่ยขอตัว เธอดูท่าทางเป็นอย่างนั้นจริง ๆ “พวกคุณจัดการจัดที่นอนกันเองได้นะ”
“เราจัดการทั้งหมดเอง คุณไปนอนได้แล้ว”
ครูแอนโทลินีพูดเขาจูบคุณนายแอนโทลินี ขณะที่เธอกล่าวราตรีสวัสดิ์กับผม แล้วเดินไปที่เตียง ทั้งคู่มักจุมพิตกันบ่อย ๆ ต่อหน้าชาวบ้านตามที่สาธารณะ
ผมดื่มกาแฟพร่องไปบ้างและกินเค้กไปครึ่งหนึ่ง เค้กแข็งราวกับก้อนหิน ส่วนคุณแอนโทลินีก็รินวิสกี้อีกแก้ว ท่านผสมเข้มคุณพูดได้เลย ท่านอาจจะเป็นแอลกอฮอลิซึมก็ได้ถ้าไม่คอยระวัง
“ฉันไปกินอาหารกลางวันกับพ่อของเธอเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน” ท่านเอ่ย “เธอรู้มั้ย”
“เปล่าเลยครับ”
“เธอระแวง แน่ล่ะ นั่นเพราะท่านเป็นห่วงเธออย่างมากเลยล่ะ”
“ผมทราบดี ผมทราบว่าท่านเป็นห่วง” ผมตอบ
“หลายหนก่อนท่านจะโทรศ้พท์มาหาฉัน ท่านได้รับจดหมายร่ายยาวจากอาจารย์ใหญ่ของเธอ จากผลกระทบที่เธอไม่มีความมุ่งมั่นพยายามเลยสักน้อยนิด ไม่สนใจการเรียน ไม่เตรียมตัวที่จะเข้าเรียนทุกวิชาเลย โดยทั่ว ๆ ไป ตลอดทุกวิชา__”
“ผมไม่ได้ไม่สนใจการเรียนนะครับ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เลิกเรียนแม้แต่วิชาเดียว มีเพียงไม่กี่วิชาที่ผมไม่สนใจ อย่างเช่นการใช้ภาษาอังกฤษแบบปากเปล่าที่ผมบอกไปแล้ว แต่ผมไม่ได้ตัดหมดทุกวิชานะ”
ผมไม่รู้สึกว่าเป็นการถกปัญหากันเลย กาแฟทำให้ท้องผมสบายขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ผมก็ยังปวดหัวหนึบ ๆ
คุณแอนโทลินีจุดบุหรี่อีกมวน ท่านสูบราวกับคนติดหนัก แล้วก็เอ่ยว่า
“พูดตรง ๆ ฉันไม่รู้ว่าจะพูดกับเธอยังไงดี โฮลเด้น”
“ผมทราบครับ ผมก็ลำบากที่จะคุยด้วย ผมว่างั้นนะ”
“ฉันรู้สึกว่าเธอมีอะไรวุ่นวายใจอย่างมาก แต่ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันเป็นแบบไหน__นี่เธอฟังฉันอยู่หรือเปล่า”
“ครับ”
คุณบอกได้เลยว่าท่านกำลังรวบรวมสมาธิอย่างเต็มที่
“มันอาจคล้ายคนวัยสามสิบ นั่งอยู่ในบาร์แล้วเกลียดชังทุกคนที่เข้ามา ดูราวกับว่าเขาเป็นนักฟุตบอลของวิทยาลัย แล้วอีกหนเธออาจเป็นแบบที่มีการศึกษาพอที่จะเกลียดพวกชอบพูดว่า ‘มันเป็นความลับระหว่างเขากับฉัน’ หรือเธออาจลงเอยในงานสำนักงาน ขว้างที่หนีบกระดาษใส่เสมียนจดชวเลขที่อยู่ใกล้ที่สุดฉันก็ไม่รู้สินะ แต่เธอคงเข้าใจว่าฉันพูดถึงอะไรนะ”
“ครับแน่นอน” ผมตอบ ผมทำอย่างนั้น
“แต่ท่านผิดเรื่องการทักทายผู้คน ผมหมายถึงที่ว่าทักทายนักฟุตบอลพวกนั้น ผมไม่ได้รังเกียจคนอื่นๆ ไปหมด ผมเป็นยังไงเหรอ ผมอาจเกลียดเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว อย่างเช่นเจ้าสแตรดเลเตอร์ที่ผมรู้จักที่เพนซี่และก็อีกคน เจ้าโรเบิร์ต แอคลีย์ ผมเกลียดมันทั้งคู่ แต่ก็ไม่นาน ผมยอมรับ แต่ก็ไม่ได้นานมากไป เข้าใจมั้ยครับ หลังจากนั้นถ้าผมได้เจอพวกนั้นอีก ถ้าพวกนั้นไม่เข้ามาในห้อง หรือถ้าไม่เจอในโรงอาหารสักสองสามมื้อ ผมก็คิดถึงพวกนั้นเหมือนกันนะ”
คุณแอนโทลินีไม่พูดอะไรสักพักหนึ่ง ท่านลุกขึ้นไปหยิบน้ำแข็งใส่แก้ววิสกี้ แล้วก็นั่งลงอีก บอกได้เลยว่ากำลังใช้ความคิดผมก็ได้แต่ภาวนาให้ท่านสนทนาต่อในช่วงเช้า แทนที่จะเป็นตอนนี้ แต่ท่านกำลังเครื่องร้อน คนส่วนมากมักกระหายจะคุยถกปัญหากับคุณ ขณะที่คุณไม่อยากจะถกด้วยเลย
“ก็ได้ ฟังนะ สักนาที__ฉันไม่น่าจะเขียนบันทึกแบบที่ฉันชอบทำ แต่ฉันก็เขียนจดหมายไปหาเธอวันสองวันก่อน แล้วเธอก็จะได้รับ แต่ฟังนะ” ท่านทำท่าทางเคร่งขรึมอีก แล้วพูดว่า
“สภาพตกต่ำอย่างนี้ ฉันคิดว่าเธอกำลังเป็น มันเป็นอาการตกต่ำแบบหนึ่ง ที่น่าสยดสยอง ชายคนหนึ่งกำลังดำดิ่งลงมา
การเตรียมการจัดการทั้งหมดสำหรับผู้ชายที่บางครั้งหรือในชีวิตของเขา คือแสวงหาบางสิ่งที่สภาพแวดล้อมของเขาไม่อำนวยให้ หรือพวกเขาคิดว่าสภาพแวดล้อมของเขาไม่สามารถรองรับเอื้อให้เขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงล้มเลิกการแสวงหา พวกเขายอมแพ้ก่อนจะเริ่มต้นด้วยซ้ำไป เธอฟังฉันอยู่นะ”
“ครับท่าน”
“แน่ใจนะ”
“ครับ”
ท่านลุกไปรินวิสกี้ใส่แก้วอีก แล้วกลับมานั่งลง ท่านไม่พูดอะไรสักพักหนึ่ง
“ฉันไม่อยากทำให้เธอขลาดกลัว” แล้วท่านก็พูดว่า
“แต่ฉันมองเห็นชัดว่าเธอกำลังสิ้นหวังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยสาเหตุที่ไม่มีอะไรมากเลย” ท่าทำทางขัน ๆ “ถ้าฉันเขียนอะไรบางอย่างไปหาเธอ เธอจะอ่านอย่างตั้งใจมั้ย และเก็บมันไว้ดี ๆ”
“ครับแน่นอน” ผมพูด ผมยังเก็บจดหมายที่ท่านส่งถึงผมเลย
ท่านเดินไปที่โต๊ะอีกฟากของห้องโดยไม่ได้นั่งลง ท่านเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษชิ้นหนึ่ง___แล้วกลับมาและนั่งลงมีกระดาษอยู่ในมือ
“พิลึกดีนะ นี่ไม่ใช่บทกวีที่เขียนโดยกวีมือใหม่มันเขียนโดยนักจิตวิเคราะห์ชื่อ วิลเฮล์ม สตีเกล นี่ไงล่ะเขา เธอยังฟังฉันอยู่มั้ย”
“ครับ ๆ กำลังฟังครับ”
“นี่ เขาว่าไว้อย่างนี้ : ‘เป้าหมายของชายหนุ่มคือการต้องการตายอย่างมีเกียรติยศศักดิ์ศรีตลอดไป ขณะที่เป้าหมายอย่างหนึ่งของผู้สูงวัยคือ เขาต้องการมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขอย่างเดียว’”
ท่านโน้มตัวยื่นกระดาษให้ผม ผมอ่านทันทีเมื่อท่านส่งให้ผมและแล้วผมก็กล่าวขอบคุณท่านและใส่ในกระเป๋า มันเป็นเรื่องดีที่จะฝ่าฟันอุปสรรค มันใช่เลยเรื่องของเรื่องก็คือ ผมไม่ค่อยรู้สึกว่ามีสมาธิแน่วแน่ ไอ้หนูเอ๋ย ผมเกิดอาการเหนื่อยอ่อนในทันใด
คุณบอกได้ว่าท่านไม่มีอาการเหนื่อยหน่ายเลย กลับดูกระฉับกระเฉงอีก
“ฉันคิดคำนึงในทุกวันนี้” ท่านเอ่ย
“เธอจะต้องไปเสาะแสวงหาว่าเธอต้องการจะไปอยู่จุดไหน แล้วเธอก็เริ่มออกเดินทางต่อจากนั้น ในทันทีเลย เธอไม่อาจจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉย ๆ แม้แต่นาทีเดียว ไม่ได้เลย”
ผมพยักหน้า เพราะท่านจ้องผมอยู่ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร ผมคิดว่าเข้าใจแน่ ๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจขณะนั้น ผมเพลียมาก ๆ
“และฉันเกลียดที่จะเล่าให้เธอฟัง” ท่านพูด
“แต่ฉันคิดว่าเธอมีความซื่อตรง ที่จะไปที่ไหน สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือปรับตัวเธอเองในโรงเรียน เธอจะต้องทำ เธอเป็นนักเรียน ไม่ว่าความคิดนั้นจะเย้ายวนใจเธอหรือไม่ก็ตาม เธอหลงใหลในวิชาความรู้ และฉันคิดว่าเธอจะค้นหา เธอจะสอบผ่านวิชาของคุณไวน์เซสและการใช้ภาษาปากเปล่า__”
“เอ้อ คุณวินสันส์ครับ” ผมบอก
หมายถึงวิชาของคุณวินสันส์ ไม่ใช่วิชาทั้งหลายแหล่ของคุณไวน์เซส แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ควรจะพูดขัดขึ้น
“เออ คุณวินสันส์ เธอสอบผ่านวิชาของคุณวินสันส์ครั้งหนึ่งเธอก็เริ่มใกล้เข้าไป ๆ นั่นคือ ถ้าเธอต้องการ และเธอแสวงหามันรอคอยมัน พวกข้อมูลนั้นก็จะซึมลึกถึงหัวใจเธอเลย ท่ามกลางสิ่งต่างๆ เธอจะพบว่าเธอไม่ใช่คนแรกที่เกิดความสับสนและตื่นกลัวแม้แต่เบื่อเซ็งพฤติกรรมของมนุษย์ เธอจะไม่มีแต่ความเลวร้ายอีกต่อไป
เธอจะตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ มีคนมากต่อมากที่ประสบปัญหาทางสภาวะจิตใจและวิญญาณอย่างที่เธอเป็นขณะนี้ ดีเหลือเกินที่บางคนบันทึกปัญหาความยุ่งเหยิงของเขาไว้ เธอจะได้เรียนรู้จากเขาถ้าเธอต้องการนะ เพียงสักวันหนึ่ง ถ้าเธอมีบางอย่างเป็นข้อเสนอ คนบางคนจะเรียนรู้บางสิ่งจากเธอด้วยเหมือนกัน มันเป็นการจัดการผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ดีทีเดียว และมันไม่ใช่การศึกษา มันคือประวัติศาสตร์ มันคือบทกวี”
ท่านหยุดและดื่มอึกใหญ่จนหมดแก้ว แล้วท่านก็เริ่มอีก ไอ้หนูเอ๋ย ท่านเป็นนักดื่มตัวฉกาจทีเดียว ผมดีใจที่ผมไม่พยายามหยุดยั้งท่าน
“ฉันไม่ได้พยายามจะบอกเธอ” ท่านกล่าวต่อ
“มีเพียงคนที่มีการศึกษาและผู้รอบรู้เท่านั้นที่สร้างสิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อโลก ไม่ใช่เหรอ แต่ฉันย้ำว่า ผู้มีการศึกษาและทรงความรู้ ถ้าพวกเขาที่มีความปราดเปรื่องและสร้างสรรค์ เริ่มต้นด้วยการไร้โชคซึ่งเป็นกรณีที่หายาก ตั้งใจทิ้งสิ่งที่มีคุณค่ามากอนันต์ไว้เบื้องหลังเขามากกว่าที่มนุษย์ที่ดูเหมือนฉลาดปราดเปรื่องและความคิดสร้างสรรค์
พวกนี้มักจะแสดงความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนกว่าและพวกเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าตามแนวความคิดของพวกเขาไปจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ และสำคัญที่สุด เก้าในสิบครั้ง พวกเขามีความอ่อนน้อมถ่อมตนมากกว่าพวกนักคิดที่ขาดความรอบรู้ เธอฟังฉันตลอดหรือเปล่านะ”
“ครับท่าน”
ท่านไม่พูดอะไรอีกสักพัก ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำอย่างนี้ไหม มันยากที่จะนั่งแกร่วรอใครบางคนเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาขณะที่เขากำลังคิดอยู่ จริง ๆ เลย ผมพยายามไม่ให้หาวนอน มันไม่ใช่ผมเบื่อหน่ายอะไร แต่ผมง่วงนอนอย่างหนักในทันใด
“การศึกษาวิชาการจะช่วยเธอได้ ถ้าเธอใฝ่ใจด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง มันจะให้ความคิดแก่เธอ แต่เธอมีใจเปิดกว้างแค่ไหนอะไรเหมาะสมกับเธอ และอะไรอาจจะไม่เหมาะสม หลังจากน้้นเธอจะได้ความคิดว่า ความคิดแบบไหนที่จิตใจของเธอจะหล่อหลอมเข้ามา
อย่างหนึ่งมันอาจช่วยให้เธอประหยัดเวลาได้อย่างมากในการใช้ความคิดที่ไม่เข้ากับเธอ ไม่อาจบังเกิดกับเธอได้เธอจะเริ่มเข้าใจขนาดที่แท้จริงและตกแต่งจิตใจได้ตามความต้องการ”
และแล้วในทันใด ผมหาวอีก มันเป็นอะไรที่เลวมาก แต่ก็ช่วยไม่ได้
คุณแอนโทลินีแค่นหัวเราะ “เอาล่ะ” ท่านพูดและลุกขึ้น
“เราเตรียมที่นอนไว้ให้เธอแล้ว”
ผมเดินตามท่าน ผ่านตู้เสื้อผ้า และพยายามหยิบผ้าปูและผ้าห่มที่อยู่ข้างบนสุด โดยไม่ได้ทำขณะถือแก้ววิสกี้ ท่านดื่มพรวดเดียวแล้ววางแก้วลงกับพื้นห้อง และแล้วท่านจึงนำพวกเครื่องนอนลงมา ผมช่วยหยิบจับนำไปวางไว้บนที่นอน เราจัดเตียงด้วยกันท่านไม่ค่อยถนัดเรื่องอย่างนี้ ท่านไม่ได้ยัดใส่ให้ตึง ผมก็ไม่สนใจอะไรหรอก ผมเหนื่อยเพลียจนกระทั่งแทบยืนหลับได้เลย
“แล้วเรื่องผู้หญิงทั้งหลายของเธอล่ะ”
“พวกนั้นก็โอเคนะ” ผมชักเป็นคู่สนทนาที่แย่ ซึ่งผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น
“แล้วแซลลี่ล่ะ เป็นไงบ้าง” ท่านรู้จักแซลลี่ เฮย์ส ผมเคยแนะนำครั้งหนึ่ง
“เธอก็สบายดีแหละ ผมมีนัดกับเธอบ่ายนี้ครับ” ไอ้หนูเอ๋ย มันดูราวกับยี่สิบปีที่แล้ว
“เราไม่ค่อยได้เจอกันนานแล้วครับ”
“เธอน่ารักมาก แล้วสาว ๆ คนอื่นล่ะ คนที่เธอเคยเล่าให้ฟังที่เมนล่ะ”
“อ๋อ เจน กัลลาเกอร์ เธอก็สบายดีครับ ผมว่าจะโทรไปหาเธอวันพรุ่งนี้ครับ”
เราจัดเตียงจนเสร็จเรียบร้อย “มันเป็นที่นอนของเธอล่ะ” คุณแอนโทลินีพูด
“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะทำอย่างไรกับขาทั้งสองของเธอ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคุ้นเคยกับเตียงสั้นอยู่แล้ว” ผมพูด
“ขอบคุณมากครับ ท่านกับคุณนายแอนโทลินีช่วยชีวิตผมล่ะคืนนี้”
“เธอรู้จักห้องน้ำแล้วนะว่าอยู่ตรงไหน ถ้ามีอะไรต้องการร้องเรียกมาเลยนะ ฉันยังอยู่ที่ห้องครัวสักพักหนึ่ง แสงไฟรบกวนเธอหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ ขอบคุณครับ”
“ก็ดี ราตรีสวัสดิ์ พ่อหนุ่ม”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอบคุณมากครับ”
ท่านเดินเข้าไปในห้องครัว และผมเข้าห้องอาบน้ำและถอดเสื้อผ้า ผมแปรงฟันไม่ได้ เพราะไม่มีแปรงสีฟันติดตัว รวมทั้งไม่มีชุดนอนด้วย คุณแอนโทลินีลืมให้ผมยืมใส่ ผมเลยกลับไปที่ห้องนั่งเล่ยและปิดไฟที่อยู่ตรงหัวเตียง เข้านอนโดยสวมแค่กางเกงขาสั้น เตียงมันสั้นเกินไปสำหรับผม แต่ผมก็หลับตาลงจนได้โดยไม่พะวักพะวน
ผมเพียงแค่ใช้เวลาสองสามนาทีคิดถึงเรื่องที่คุณแอนโทลินีบอกผม เกี่ยวกับการค้นหาขนาดของจิตใจ ท่านเป็นคนที่ล้ำเลิศปัญญาจริง ๆ ผมเปิดเปลือกตาไม่ไหวเลยหลับสนิทลงทันที
จากนั้นบางอย่างบังเกิดขึ้น ผมไม่อยากพูดถึงมันเลย
ผมสะดุ้งตื่น ไม่รู้ว่าเวลาเท่าไหร่ แต่ก็ตื่นขึ้นแล้ว ผมรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ที่ศีรษะ มือของใครบางคน ไอ้หนูเอ๋ย มันน่าสยดสยองขยะแขยงจัง มันอะไรล่ะ ก็มือของคุณแอนโทลินียังไง ท่านทำอะไรหรือ
ท่านนั่งอยู่ที่พื้นข้างที่นอนผม ในท่ามกลางความมืดมิด แล้วเอามือลูบไล้ศีรษะผมไปมา
ไอ้หนูเอ๋ย ผมแทบจะกระโดดผลุงไปไกลสักพันฟุตทีเดียว
“ท่านทำอะไรน่ะ” ผมถาม
“เปล่านี่ ฉันนั่งอยู่ตรงนี้เฉย ๆ เพียงชื่นชม__”
“ท่านทำอะไรแน่” ผมถามซ้ำอีก ผมไม่รู้จะพูดห่าเหวอะไรอีก ผมอับอายเหลือเกิน
“เธอเบาเสียงลงได้มั้ย ฉันแค่นั่งตรงนี้เฉย ๆ__”
“ผมต้องไปแล้วล่ะ” ผมพูด
ไอ้หนูเอ๋ย ผมประสาทจริง ๆ ผมรีบสวมเสื้อผ้าในความมืด ผมแทบจะสวมไม่ได้ เพราะอาการประสาทเสียนั่นเอง ผมรู้ดีว่าพวกวิปริตเป็นยังไงที่โรงเรียนมากกว่าคนที่คุณเคยรู้จักเสียอีก พวกเขามักจะส่ออาการวิปริตตอนที่ผมอยู่ใกล้ ๆ
“เธอจะไปที่ไหนล่ะ” คุณแอนโทลินีถาม ท่านพยายามทำให้ดูปกติที่สุด และทำท่าทางเยือกเย็น แต่ความจริงไม่ได้เยือกเย็นเลยจำไว้เลยเชื่อสิ
“ผมทิ้งกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟ ผมคิดว่าควรกลับไปเอามาก่อน ผมมีข้าวของอยู่ในนั้นหมด”
“มันก็ยังอยู่อย่างนั้นจนรุ่งเช้าแหละ เอาน่ะ กลับเข้าไปนอนซะฉันก็จะไปนอนของฉันล่ะ เธอมีปัญหาอะไรหรือ”
“เปล่าหรอกครับ เพียงแต่เงินของผมและข้าวของสำคัญอยู่ในกระเป๋าใบหนึ่งของผม ผมจะกลับมาภายหลัง ผมจะเรียกแท็กซี่และเดี๋ยวกลับมาครับ”
ผมพูด ไอ้หนูเอ๋ย ผมเดินคะมำท่ามกลางความมืดมิด
“สิ่งสำคัญ มันไม่ใช่ของผม เงินนั่น มันเป็นเงินของแม่ผมและผม__”
“อย่าบ้าไปหน่อยเลยน่า โฮลเด้น กลับเข้าไปนอนเสีย ฉันจะเข้านอนเหมือนกัน เงินมันก็ยังอยู่อย่างปลอดภัยดีในตอนเช้า__”
“ไม่ล้อเล่นนะครับ ผมต้องไปจริง ๆ”
ผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ยกเว้นผมหาผ้าพันคอไม่เจอ ผมจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน ผมสวมแจ็กเกต โดยไม่มีผ้าพันคอ คุณแอนโทลินีนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ห่างจากผมเล็กน้อย จ้องดูผม มันมืดตื้อจริง ๆ ผมเห็นท่านไม่ถนัดเลย แต่ผมรู้ว่าท่านกำลังจ้องมองผมอยู่ ท่านยังดื่มอยู่อีกด้วย ผมเห็นแก้ววิสกี้คู่ใจอยู่ในมือของท่าน
“เธอเป็นเด็กที่แปลกมาก ๆ”
“ผมทราบครับ” ผมตอบ ผมไม่ชำเลืองมองหาผ้าพันคอเลยผมออกไปโดยไม่มีผ้าพันคอ
“ลาก่อนครับ” ผมพูด “ขอบคุณมากครับ”
ท่านเดินมาข้างหลังผม ตอนที่ผมเดินไปถึงประตูหน้าห้องและตอนที่ผมสั่นกระดิ่งเรียกลิฟต์ ท่านมายืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ทั้งหมดที่ท่านกล่าวถึงตัวผมว่าเป็น ‘เด็กที่แปลกมาก ๆ’ อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แปลก ทุเรศล่ะไม่ว่า จากนั้นท่านยืนรออยู่ตรงทางเดินหน้าประตูลิฟต์ จนกระทั่งลิฟต์ขึ้นมาถึง ผมไม่เคยรอลิฟต์ที่ไหนนานเท่าครั้งนี้เลยในชีวิต สาบานได้
ผมไม่ทราบว่าจะพูดอะไรกับท่านอีก ขณะรอลิฟต์อยู่นั้น ท่านยังคงยืนอยู่อย่างนั้น ผมจึงพูด “ผมกำลังเริ่มหาอ่านหนังสือดี ๆ จริง ๆ นะครับ” ผมหมายถึงว่าคุณต้องหาอะไรพูดสักอย่าง มันช่า่งน่าอับอายมาก
“เธอหิ้วกระเป๋าสัมภาระและดิ่งกลับมาอีกได้เลยนะ ฉันจะไม่ล็อกกลอนประตูนะ”
“ขอบคุณมากครับ” ผมพูด “ลาก่อน”
ในที่สุดลิฟต์มาหยุดตรงหน้า ผมเข้าไปแล้วลิฟต์เลื่อนลง ไอ้หนูเอ๋ย ผมยังสั่นไม่หาย เหงื่อชุ่มโชกอีกด้วย เมื่อเรื่องวิตถารอย่างนี้เกิดขึ้น เหงื่อยิ่งผุดไหลชุ่มโชกยิ่งขึ้น
เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับผมนับยี่สิบหนเห็นจะได้ นับตั้งแต่โตมา ผมทนไม่ได้เลย.