สาวเจ้าของร้านทองนางรอง บุรีรัมย์ ไหวแววดี ช่วยหวุดหวิดเหยื่อสาววัย37ที่กำลังจะขายทองตามคำสั่งแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ปลอมตัวเป็นตำรวจ หลอกเหยื่อว่ามีหมายจับกองปราบต้องคดียักยอกเงินรัฐ ต้องขายทองโอนเงินตรวจสอบว่าเกี่ยวพันคดีหรือไม่
เล่ห์แก๊งคอลที่เกือบจะต้มเหยื่อสำเร็จรายนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 18 ม.ค.68 น.ส.ดุจฤดี เพียวพงษ์ อายุ 45 ปีเจ้าของห้างทองไทยวิจารณ์ ตลาดคิวรถ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่าอยากให้เรื่องนี้เป็นวิทยาทาน เกรงว่าคนอื่นจะโดนหลอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในลักษณะอีกแบบหนึ่งซึ่งชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่ไหวตัวทัน
น.ส.ดุจฤดี เล่าว่าวันนี้มีลูกค้าเป็นหญิงวัย37ปี เอาทองน้ำหนักประมาณบาทเศษ คิดเป็นเงินประมาณ 50,000 บาทมาขายที่ร้าน แต่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนหวั่นวิตกอะไรบางอย่าง โดยคุยโทรศัพท์ไปด้วย แต่ไม่ยอมพูดกับทางร้าน สังเกตเห็นส่งสายตาทำปากขยับมาทางตน แต่ไม่มีเสียงออกมา จับใจความได้ว่าขอกระดาษกับปากกาจากทางร้าน
เจ้าของร้านทองไทยวิจารณ์กล่าวต่อว่า เมื่อเอากระดาษปากกาไปให้ ลูกค้าสาวได้เขียนข้อความใส่กระดาษแล้วยื่นมาระบุว่า”ขายทองทั้งหมดเป็นเม็ดเงินโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบสินทรัพย์ มีไหม”
เมื่ออ่านเสร็จ ได้สังเกตโทรศัพท์ของลูกค้าลักษณะเหมือนมีสายคุยวีดีโอคอลอยู่ เห็นว่ามาจาก สภ.ขอนแก่น จ.ขอนแก่น
ตนเริ่มเอะใจ จึงพยายามถ่วงเวลาเพราะเชื่อว่าเป็นแผนของแก๊งคอลเซนเตอร์ ได้ปฏิเสธการรับซื้อจากผู้เสียหายจนเวลาผ่านไปกว่า 30 นาที สุดท้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยอมวางสายไป
น.ส.ดุจฤดี กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นได้สอบถามลูกค้าที่เอาทองมาขาย ได้รับคำตอบว่ามีคนโทรศัพท์มาอ้างเป็นตำรวจสภ.ขอนแก่น บอกว่าตนติดคดีพร้อมส่งภาพหมายจับกองปราบและเอกสารต่างๆเกี่ยวกับคดีซึ่งมีชื่อผู้เสียหาย มาให้
จากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถามว่ามีเงินในบัญชีเท่าไหร่ ผู้เสียหายบอกว่ามี 400 บาท คนร้ายคือคอลเซ็นเตอร์บอกว่ามีทองหรือไม่ พอทราบว่ามีทองอยู่ คนร้ายให้นำทองทั้งหมดไปขายที่ร้านทองแล้วโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบ ที่สำคัญหาม้บอกสามีและห้ามบอกใครเด็ดขาดแม้กระทั่งร้านทอง แต่สุดท้ายเหยื่อสาวคงเกิดความสงสัย เลยขอปากกากระดาษจากทางร้านให้เขียนหนังสือสื่อสารกัน ถึงทราบ
จึงอยากจะฝากแจ้งเตือนคนทั่วไปว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลากหลายรูปแบบแทบจะตามไม่ทัน โดยเฉพาะคนทั่วไปที่ไม่ค่อยดูข่าวสารอาจตกเป็นเหยื่อได้