หญิงวัยราวสามสิบห้า ร่างผอมบางนุ่งกางเกงลำลองขาสั้นถึงหัวเข่าสีกรมท่าสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวมีขลิบลายน้ำเงินแดงที่แขนเสื้อ รองเท้ากีฬาใส่เดินออกกำลังกาย เดินจูงชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้ารูปร่างสูงโปร่งผมหนาปกต้นคอ เดินลงบันได้ข้ามถนนมายังป้ายรถโดยสารประจำทางที่ข้าพเจ้ายืนอยู่
ถัดมามีหญิงสาววัยยี่สิบเศษอีกสามคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานหรือสถาบันการศึกษาสักแห่งหนึ่ง นั่งรออยู่ในร่มชายคาป้ายรถเมล์นั่น
เป็นภาพที่คุ้นชินตาข้าพเจ้า เมื่อได้เวลาช่วงเช้าเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของแต่ละคน ทั้งหมดที่พบกันต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน แต่เมื่อมาพบกันที่จุดเดียวกันโดยมิได้นัดหมายกลายเป็นความคุ้นตาคุ้นชินเหมือนเพื่อนร่วมทางที่พบเห็นทุกวันตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ จะมีบ้างที่คลาดเวลาไปบ้างบางวัน จึงไม่ได้พบเจอกัน
ข้าพเจ้าถือเอาเองว่าเราเป็นเพื่อนร่วมชาติก็แล้วกัน แม้จะไม่ได้เอ่ยปากสนทนากันเลยแม้แต่คำเดียว แต่ก็เหมือนคนรู้จักกันนั่นเอง
คนรู้จักที่ไม่รู้พื้นเพที่มาที่ไปอะไรของกันแม้แต่น้อย พวกเขาก็คงคิดไม่ต่างจากข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนร่วมชาติเหมือนกันหรอกนะ หรือพวกเขาอาจไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ เพียงแต่คงคิดว่าเจอตาคนนี้อีกแล้วที่ป้ายรถเมล์เท่านั้น ก่อนที่จะเร่งรีบขึ้นไปเบียดผู้คนบนรถเมล์สายประจำที่พาไปถึงจุดหมายปลายทางของแต่ละคน
หญิงสาววัยสามสิบห้าประมาณนั้น จะคอยยืนชะเง้อมองดูรถเมล์สายประจำ ขณะที่ชายที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเป็นน้องชายของเธอที่นั่งอยู่กับม้านั่งรอรถ กำลังจดจ่อกับเครื่องโทรศัพท์มือถือที่เสียบสายหูฟัง
เขาอาศัยฟังเสียงจากโทรมือถือเครื่องนั้นเท่านั้น เนื่องจากความพิการทางสายตา ไม่สามารถจะใช้สื่อโซเชียลมีเดียได้เหมือนคนปกติทั่วไป สักครู่พี่สาวจะหันกลับมาหาน้องชายคอยปัดผมเผ้าให้เรียบร้อยด้วยความสนิทสนมและรักห่วงใยน้องชายของเธอ
โลกปัจจุบันการใช้สื่อโซเชียลเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิตไปแล้วสำหรับคนทั่วไป คนที่มีร่างกายปกติ มีสายตาปกติ แต่กับคนในโลกมืดหรือไร้แขนไร้นิ้วมือ พวกเขาจะใช้ชีวิตยากลำบากกว่าอีกกี่เท่า หรืออาจจะไม่รู้สึกแตกต่างอะไรมากนัก ข้าพเจ้าอดรู้สึกคิดไปเองอีกแล้ว หรือคิดมากไปวัน ๆ อีกแล้ว
ข้าพเจ้าเห็นเธอกับน้องชายมาก่อนหลายวัน จึงไม่รู้สึกแปลกตาอะไร เพราะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องปกติของเธอกับน้องชายที่อยู่ในโลกมืด เธอมักจะจูงน้องชายมายืนรอรถเมล์ที่ป้ายเดียวกับข้าพเจ้ารอเช่นกัน คอยส่งน้องชายขึ้นรถเมล์เบียดไปคนอื่น ๆ ทุกๆ เช้า จะเพื่อไปทำงานหรือไปเรียนอะไรก็ไม่อาจทราบได้ น้องชายก็จะเดินทางด้วยรถเมล์สายนี้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่ใดที่หนึ่งตามลำพัง
ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าจะมีใครมาคอยรับและนำทางเขาต่อไปอีกหรือไม่ ไม่มีทางทราบได้ นอกจากจะติดตามขึ้นรถเมล์สายนั้นไปด้วยกับเขา
ส่วนหญิงสาววัยเริ่มต้นทำงานหรืออาจจะอยู่ระหว่างฝึกงานในปีการศึกษาสุดท้าย เต็มไปด้วยความสดใสกระตือรือร้นเสมอเมื่อพบเห็นพวกเธอทั้งสามมาพร้อมหน้ากันที่ป้ายรถเมล์เดียวกันนี้
ทั้งหมดจะง่วนอยู่กับโทรมือถือตามที่เห็นคนทั่วไปใช้กันดาดดื่น แต่จะมีบ้างที่จะคอยลุกจากม้านั่งออกไปมองดูว่ารถเมล์ที่พวกเธอใช้เป็นประจำจะมาถึงป้ายหรือยัง ด้วยป้ายอยู่ถัดจากบันไดทางขึ้นสะพานลอยคนข้ามพอดี จึงต้องลุกขึ้นมาดูบ่อย ๆ เพราะถ้าเผลอรถเมล์ไม่แวะจอดก็ต้องรอคันหลังอีกนานอาจจะมากกว่าสิบนาทีเลยก็ได้
สักพักใหญ่รถเมล์สายห้าหนึ่งศูนย์เป็นรถติดแอร์แล่นมาจอดที่ป้าย มีผู้โดยสารลงจากรถสามสี่คน พี่สาวจูงน้องชายตาพิการขึ้นรถเมล์คันนั้นก่อนจะยืนรอดูน้องชายที่ก้าวขึ้นบันไดรถเมล์พร้อมๆกัน สามสาววัยสดใสก็รีบเร่งตามขึ้นรถคันเดียวกันนั้นไปด้วย จนเมื่อรถเมล์เคลื่อนตัวออกไปจากป้าย พี่สาวของหนุ่มตาพิการก็เดินขึ้นสะพานลอยคนข้ามไป
ข้าพเจ้าเห็นวิถีความเป็นไปของเพื่อนร่วมทางแต่ละคนเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว ได้แต่คิดไปเรื่อยว่า จะมีใครคอยดูแลชายหนุ่มตาพิการที่เดินทางไปคนเดียวโดยรถเมล์คันนั้นบ้างหรือไม่หนอ จะมีใครเอื้ออาทรให้ที่นั่งแก่เขาหรือไม่ และเมื่อถึงจุดหมายปลายทางคนขับรถเมล์จะจอดส่งเขาลงจากรถตรงป้ายหรือไม่
คงจะเป็นปกติกระมัง เพราะเขาไม่ได้เพิ่งจะขึ้นรถเมล์ไปยังจุดหมายปลายทางครั้งแรก คงทำเป็นประจำวันมานานแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนี่คือวิถีชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
เช่นเดียวกันข้าพเจ้าก็มีวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่ง เมือรถเมล์สายเดียวกันแต่เป็นชนิดไม่ติดเครื่องปรับอากาศมาจอดที่่ป้าย ข้าพเจ้ารอให้ผู้โดยสารบนรถลงก่อนที่จะสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดรถเมล์คันนั้นอย่างรวดเร็วไม่ให้คนขับเกิดความรำคาญใจที่ผู้โดยสารอื่ดอาดชักช้า
ลำดับแรกเมื่อขึ้นไปบนรถสายตากวาดมองหาเก้าอี้ว่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ก่อนจะกระวีกระวาดเสือกตัวเองไปหย่อนก้นนั่งได้อย่างมั่นเหมาะ พร้อมเตรียมค่าโดยสารที่ถูกที่สุดเพียงสี่บาทให้กับกระเป๋ารถเมล์ หลังจากที่คนขับซี่งจะเห็นเป็นผู้หญิงบ่อย ๆ หรืออาจจะมากกว่าผู้ชายก็ว่าได้ที่ทำหน้าที่สารถีรถเมล์สายนี้
ณ พอศอนี้ ควรจะได้ทราบว่าโชเฟอร์รถครีมแดงหรือรถร้อนนี่เป็นผู้หญิงไม่น้อยแล้วนะ และฝีไม้ลายมือขับรถเมล์ไม่ด้อยกว่าชายอกสามศอกเสียด้วยซ้ำไป หากคิดให้ละเอียดลึกลงไปน่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะโชเฟอร์ชายบางครั้งแสดงออกต่อผู้โดยสารได้หยาบกร้านกว่าแน่นอน
อย่างรายหนึ่งไม่สบอารมณ์เพียงเพราะมีเสียงกดกริ่งให้รถจอดป้ายดัง พอหยุดที่ป้ายหนึ่งไม่มีคนลงจากรถ ก็จะจอดแช่มองกระจกเหนือศีรษะดูผู้โดยสารว่าใครกดกริ่งแล้วไม่ลง ทั้งที่คนกดกริ่งจะลงที่ป้ายใหญ่ แต่ด้วยความร้อนใจกลัวจะรถจะแล่นเลยป้ายเลยรีบกดกริ่งเสียก่อนเท่านั้นเอง
นี่เป็นบันทึกของข้าพเจ้าที่ไม่น่าสนใจและสำคัญอะไรนักในยุคแห่งความทันสมัย
ที่ช่วงแห่งชีวิตผ่านมาตั้งแต่เคยยืนเข้าคิวรอหยอดเหรียญโทรศัพท์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หรือแม้กระทั่งเห็นคนจองเวลาเพื่อใช้โทรศัพท์ทางไกลจากเจ้าของกิจการโรงรับซื้อข้าวเปลือกข้าวสารก็ยังเคยเห็นมาแล้ว
จนถึงยุคนี้ที่ใช้วิดีโอคอลเห็นหน้าเห็นตาคนที่คุยสนทนากันด้วย ก็นับว่าคุ้มค่าแล้วกับปัจจุบันชีวิตวันหนึ่ง
ดอนรัญจวน
22/6/2567