Saturday, September 7, 2024
More
    Homeเรื่องสั้น-วรรณกรรมเรื่องเล่าในรถร้อน EP.3

    เรื่องเล่าในรถร้อน EP.3

    ใกล้สี่โมงเย็น ถนนยังพอโล่งรถราแล่นได้คล่องปลอดโปร่ง การเดินทางยังเป็นไปด้วยความสะดวก

    เพียงแต่อีกไม่กี่นาทีถัดจากนี้ไปถนนจะเริ่มหนาแน่น มันเป็นเวลาเลิกงานของผู้คนส่วนใหญ่และโรงเรียนเลิก การเดินทางจะเริ่มเป็นไปด้วยความทุลักทุเลไม่สะดวกคล่องตัว

    อย่างช่วงก่อนหน้านี้ รถเมล์ครีมแดงสายประจำที่ข้าพเจ้าใช้เดินทางกลับแล่นเข้ามาจอดที่ป้ายพอดี รีบกระวีกระวาดก้าวขึ้นรถเมล์อย่างรวดเร็ว เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เมืองต้องแก่งแย่งทุกวินาทีที่ออกไปอยู่กลางสมรภูมิชีวิต

    คนบนรถไม่มากถึงต้องเบียดเสียดยัดเยียดจุ่มเท้ายืน รถเมล์แล่นตะบึงได้อย่างรวดเร็วพอสมควร

    ผู้โดยสารหญิงสาวใหญ่แต่งกายชุดทะมัดทะแมงกางเกงขาลีบ เสื้อโปโลสีดำขลิบเส้นแขนเสื้อและชายเสื้อสีเขียวเรืองสะท้อนแสงบ่งบอกหน้าที่การงานเป็นแม่บ้านอาคารสำนักงานที่ไหนสักแห่ง กับเพื่อนร่วมงานที่อาศัยรถเมล์คันเดียวกันเป็นพาหนะส่งกลับบ้าน ยืนอยู่ถัดไปด้านหลัง ที่ไหล่สะพายถุงผ้าใส่ข้าวของที่เธอติดตัวไปทำงาน

    คงเป็นกล่องข้าวปลาอาหารที่จัดเตรียมจากบ้านไว้เป็นอาหารกลางวันอย่างใดอย่างหนึ่งและเครื่องใช้ส่วนตัวบ้าง เป็นการประหยัดมัธยัสถ์สำหรับคนทำงานที่รายได้ไม่มากเพียงพอเลี้ยงตัวและครอบครัวไปเดือนชนเดือน

    หลายคนตกอยู่ในภาวะจำยอมต้องกระเหม็ดกระแหม่อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูในสภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองอย่างหนัก จะจับจะจ่ายอะไรต้องคิดแล้วคิดอีกประเมินถึงประโยชน์สำคัญยิ่งยวดแค่ไหน ถ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเอาไปคิดไปต่อแถวข้างหลังสุดโน่นค่อยว่ากันอีกที

    บนรถเมล์ที่ห้อตะบึงผ่านป้ายรถเมล์หลายป้าย มีเพียงเสียงกระเป๋ารถเมล์หญิงวัยเฉียดห้าสิบ ผมหล่อนมีหงอกแซมประปรายคอยตะโกนบอกผู้โดยสารว่าป้ายหน้าถึงไหน เป็นการช่วยเหลือให้ผู้โดยสารได้เตรียมพร้อมที่จะลงจากรถเมื่อถึงที่หมายของแต่ละคน

    ส่วนในรถผู้โดยสารที่อ่อนล้าจากภารกิจการงานหรือร่ำเรียน ไม่ค่อยจะมีใครสนใจพูดคุยกัน เพราะต่างคนต่างมาตามลำพังเสียเป็นส่วนใหญ่ บ้างก็งีบหลับคอพับคออ่อน บางคนง่วนอยู่กับจอโทรศัพท์ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยหรือเล่นเกมฆ่าเวลา คลายความเบื่อหน่ายไปได้บ้าง

    บ้างเหม่อมองนอกหน้าต่างรถเหมือนหุ่นนิ่งแต่ในสมองของเขาและเธออาจจะสับสนวุ่นวายมีเรื่องราวจิปาถะยุ่งเหยิงเป็นพัลวันก็ได้

    จู่ ๆรถเมล์คันนั้นเบรกอย่างกะทันหันทั้งที่ยังไม่ถึงป้ายรับส่งผู้โดยสารเลย ผู้โดยสารที่ยืนโหนราวถึงกับเซแซดไปข้างหน้าแทบล้มกลิ้ง แม้แต่คนนั่งยังเกือบคะมำตกเก้าอี้

    “ลงไปดูหน้ารถทีสิวะแบงก์ห้าร้อยตกอยู่บนถนนแน่ะ”

    เสียงโชเฟอร์รถเมล์หนุ่มใหญ่ตะโกนเรียกกระเป๋ารถเมล์สาววัยเฉียดห้าสิบให้ลงไปเก็บเงินที่คาดว่าใครคงทำร่วงไว้ไม่รู้ตัว พร้อมกันนั้นโชเฟอร์เปิดประตูอัตโนมัติให้เพื่อนร่วมงานลงไปเก็บอย่างรวดเร็ว

    กระเป๋ารถเมล์รีบลงจากรถวิ่งไปดูด้านหน้ารถเมล์คันนั้น สักพักหนึ่งก็ร้องตะโกนบอกโชเฟอร์รถเมล์ว่า

    “อะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่แบงก์สักหน่อย กระดาษอะไรบี้แบน”

    โชเฟอร์ยังเชื่อมั่นว่าตาตนเองไม่ฝาดแน่ แต่ก็พึมพำอย่างเก้อเคอะเขิน

    “ก้อมันเหมือนแบงก์นี่หว่าปัดโธ่”

    ก่อนจะออกรถต่อไปหลังเพื่อนร่วมงานวิ่งกลับมาขึ้นรถแล้ว เป็นไปได้ว่าโชเฟอร์รถเมล์คงพบเจอธนบัตรร่วงหล่นบนถนนมาบ้างแล้ว คงคิดว่าเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานจากฟากฟ้ามาให้ดอกกระมัง ถ้าไม่คิดอะไรมากถือเป็นลาภลอย ส่วนเจ้าของเงินที่เผลอทำหลุดร่วงก็ถือว่าเป็นความโชคร้ายฟาดเคราะห์ฟาดกรรมไปก็แล้วกัน

    ช่วงเหตุการณ์ที่เหมือนเบรกความคิดความเครียดขัดจังหวะทำลายความเงียบในรถเมล์คันนั้นลงไปได้บ้าง หญิงสาวใหญ่ที่ลักษณะคงทำงานแม่บ้านสำนักงานกับเพื่อนตื่นจากภวังค์หันมาคุยกัน จากเรื่องที่ไม่พ้นในหน้าที่การงานประจำ ถึงเพื่อนร่วมงานคนนั้นคนนี้หรือหัวหน้างานบ้าง จนหมดเนื้อหาสาระจืดจาง คนหนึ่งเริ่มเปลี่ยนหัวข้อประเด็นไปสู่เรื่องราวข่าวสารบ้านเมืองบ้าง

    “ข่าวที่คนเวียดนามถูกวางยาพิษตายในโรงแรมใหญ่กลางกรุงนี่่มันแปลกเนาะ ทำไมเค้าคิดยังไงกันนะ แล้วเค้าทำกันไปได้ยังไงฆ่ากันตายถึงหกศพพร้อมเพรียงกัน ไม่มีใครล่วงรู้ก่อนเลยเหรอว่าตัวเองจะมาตายแบบนี้ มันแปลกเอามากมาก เกิดมาก็ไม่เคยได้พบได้เห็นข่าวอะไรแบบนี้เลยนะแก”

    หญิงสาวใหญ่เอ่ยชวนเพื่อนร่วมงานคุยวิเคราะห์ข่าวแบบชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป

    “มันต้องมีใครสักคนหลอกลวงมาฆ่าแน่ ก่อนจะหลบหนีไป ฉันว่าอย่างนั้นนะ”

    อีกคนตอบอย่างถ้อยทีไม่มันใจว่าเรื่องมันจะเป็นแบบที่ตนคิด ด้วยเสียงที่เบาบางไม่หนักแน่น

    “แต่เห็นตำรวจเค้าบอกว่าคนวางยาก็เป็นหนึ่งในหกศพนั่นด้วยแหละ เฮ้อ อะไรกันหนอ เห็นบอกว่ามีปัญหาเรื่องเงินลงทุนทำโรงพยาบาลหรืออะไรนี่แหละ สิบกว่าล้าน นี่คนมีเงินขนาดนี้ยังมีทุกข์มีปัญหากันหนักหนาถึงขั้นลงมือฆ่าแกงกันเลย

    ไอ้เราแค่จับเงินหมื่นเงินแสนก็ยากก็เย็น ยังไม่เห็นจะทุกข์ร้อนเครียดขนาดเอาชีวิตกันเลย ถือว่าคนอย่างเราเรานี่ก็ยังพอโชคดีนะแก คนเราหนอมีน้อยก็เครียด มีมากก็เครียด ไม่เห็นจะแตกต่างกันเลย”

    สาวใหญ่บอกกับเพื่อนร่วมงาน

    “อย่างเรื่องแม่คลอดลูกแล้วเอาไปทิ้งลงถังขยะนี่ก็เหมือนกัน ทั้งที่รกคาอยู่แท้แท้ ทำลงไปได้ยังไงน้อ อีคนเป็นแม่ ใจยักษ์ใจมารมาก หมามันยังรักลูกเลย ดูซิทำแบบนี้ยิ่งกว่าหมาเลวแท้แท้ฉันเห็นแล้วสงสารเด็กมากเลย เกิดมาทั้งทีมีค่าเพียงแค่ขยะชิ้นหนึ่งเลยเหรอ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายนะที่เด็กยังไม่ตาย มีคนมาเจอก่อนช่วยได้ทัน

    แกได้อ่านข่าวนี้มั้ย เห็นโผล่ในเฟซ ฉันงี้ใจสั่นเฮือกเลยล่ะ ยิ่งได้ยินเสียงร้องอุแว้อุแว้ลั่น น้ำตาจิไหลเลย”

    ไม่มีความเห็นจากเพื่อนร่วมงานของเธอ คงนิ่งคิดนึกภาพไปตามที่สาวใหญ่เล่า

    ปล่อยให้ความคิดคำนึงของคนรอบข้างที่ได้ยินเรื่องราวข่าวนั้นเล็ดรอดเข้าหูทำหน้าที่ไปตามสำนึกรับรู้ของแต่ละคน ไม่มีใครล่วงรู้เข้าใจในชีวิตอื่นอย่างแท้จริงหรอก ทั้งคนบินข้ามประเทศมาทิ้งลมหายใจในโรงแรมใหญ่กลางกรุงนั้น พวกเขามีความทุกข์ความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากขนาดปลิดชีวิตกันและกัน

    ตลอดจนชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งที่แอบอุ้มทารกที่ยังไม่ตัดสายสะดือ คราบน้ำคร่ำเลือดเปรอะร่างไปทิ้งลงในถังขยะ ใครจะรู้ว่าในหัวใจของเธอเจ็บปวดเศร้าหดหู่ดิ่งลึกปานใด ที่ต้องทิ้งเลือดในอกอย่างคนสิ้นไร้ราคา

    แน่นอนว่าเธอต้องรับรู้ว่าโลกประณามเธออย่างไม่ยอมลดละเข้าใจอะไรทั้งสิ้น เพียงข่าวถูกนำเสนอไม่กี่นาทีความคิดเห็นประดังประเดมาในทิศทางเดียวกัน ต่างก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสียไม่ปรานีปราศรัยว่าเป็นแม่ใจร้ายใจยักษ์ เมื่อไม่พร้อมจะมีลูกแล้วให้เขาเกิดมาทำไม บ้างก็ว่าพยายามจะมีลูกหมดเงินไปเป็นล้าน

    เห็นข่าวแล้วอยากร้องไห้ แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคำประณามอย่างไม่มีชิ้นดี นอกจากจะมีบางคนเสนอความเห็นให้ทำตู้รับเด็กที่แม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ ติดสัญญาณไฟวับวับเมื่อมีทารกน้อยในตู้นั้น จะได้มีคนมาช่วยเหลือเด็กได้ทันดีกว่าไม่ทำอะไรเลยก็มี

    คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอกหากแม่ที่อาจเป็นวัยรุ่นหรือคนที่มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเผชิญชีวิตที่ตนคิดว่าไร้ทางออกไม่มีคนเคียงข้างช่วยเหลือ จำต้องตัดสินใจลงไปอย่างนั้น บางครังการด่าประณามเพียงอย่างเดียวมันเป็นแค่รูระบายความเครียดของสังคมเท่านั้น

    หัวใจบางบางของคนคนหนึ่งที่ต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกของตัวเอง มันยากเกินกว่าที่ใครจะมาเข้าใจได้ เช่นเดียวกับการหาทางออกของคนคนหนึ่งในหกชีวิตที่ด่าวดิ้นอย่างทุรนทุรายในห้องหับโรงแรมชั้นหนึ่งกลางเมืองหลวง ไม่มีใครเข้าใจอย่างแท้จริงเหมือนกัน

    คิดเหม่อลอยไปตามกระแสข่าวครึกโครมกลางกระแสหมุนวนของชีวิตคนเมืองไปบนรถเมล์ไปอีกวันหนึ่งอย่างไม่รู้หมดสิ้นเมื่อใด

    รถเมล์ถึงที่หมายจึงหยุดกระแสความคิดข่าวนี้ลงได้เพื่อรอเผชิญเรื่องราวใหม่ที่ยังมาไม่ถึง.

    21/7/2567

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments