ข้าพเจ้าเดินบนสะพานลอยนี้บ่อยๆ
มักเห็นชายสูงอายุปูผ้าขายสินค้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่างหวี กรรไกรตัดเล็บ พวงกุญแจตุ๊กตา ถุงเท้า เส้นยางมัดผม จิปาถะอย่างละนิดละหน่อย
ถัดไปไม่กี่ก้าวมีชายอายุอ่อนกว่าไม่มากนัก มีอุปกรณ์ถ้วยพลาสติกหนึ่งใบวางเบื้องหน้าคอยท่าผู้สัญจรผ่านหยิบยื่นเศษเงินใส่ถ้วยให้ เป็นวิถีทางเอาชีวิตให้อยู่รอดไปวันต่อวัน ย่อมไม่พ้นคำหยามหมิ่นเป็นธรรมดา
จากความคุ้นหน้าค่าตาเห็นกันอยู่บ่อยๆ ชายสองคนที่ใช้สะพานลอยคนข้ามทำมาหากินกลายเป็นคนรู้จักกัน แต่จะรู้ชื่อรู้นามสกุลหรือไม่ ไม่สามารถล่วงรู้ได้
ยามว่างเว้นจากผู้คนช่วงสายวันหนึ่ง เห็นคนทั้งสองยืนพิงราวสะพานลอย แขนท้าวราวสะพานสายตาทอดยาวไปบนถนนที่รถราแล่นติดๆกันไม่เปิดโอกาสให้ท้องถนนได้หายใจเลย
ทั้งสองคุยกัน ท่าทีผ่อนคลายจากภารกิจประจำของตน ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามวิถีทาง แล้วกลับมาพบกันอีกวาระต่อไปวันข้างหน้าที่ไม่มีกำหนดแน่นอน
เดินลงสะพานมานั่งพักรอที่ป้ายรถเมล์ตีนสะพาน ได้อาศัยศาลาบังแสงตะวันบ้าง ปกติจะคาดหน้ากากอนามัยเสมอยามเดินทาง แต่วันนี้ลืมพกมาด้วย จำต้องคอยใช้มือป้องจมูกจากควันรถ
ยิ่งรถเมล์เก่าใช้น้ำมัน แทบทุกคันพอเร่งเครื่องออกจากป้ายจะพ่นควันดำฟุ้งกระจายเป็นของแถมให้เสมอ
บริเวณป้ายรถยามนั้นมีคนรอรถอยู่สองสามคน ในจำนวนนี้มีเด็กหนุ่มสองคนในชุดนักเรียนอาชีวะนั่งบนม้านั่งยาว คนหนึ่งหิ้วกระบอกน้ำหรือเครื่ิิองดื่มจำพวกชาเย็นกาแฟเย็นอะไรสักอย่าง อีกคนสะพายกระเป๋าใส่หนังสือเรียนก้มดูโทรศัพท์มือถือบ้างหันมาคุยกันบ้าง
สักพักหนึ่งมีเพื่อนนักเรียนอาชีวะอีกคนลงบันไดสะพายลอยมาสมทบ คนนี้ผิวคล้ำท่วงท่าทะมัดทะแมง ส่ายหน้ามองสองคนพร้อมเอ่ยทันทีที่ก้าวมายืนใกล้ๆว่า
“ทำไมพวกมึงไม่ไปก่อนวะ กว่ารถจะมาแต่ละคันเป็นชั่วโมง มึงจะรอกูทำไม อย่างงี้ก็สายสิไอ้สัตว์”
คำสนทนาแสนธรรมดาของวัยรุ่นวัยเรียน สองคนได้แต่หน้าเจื่อนปนเซ็งเบื่อแต่ยังฝืนยิ้มหัวในแวบถัดมา รู้ทั้งรู้รถสายที่พวกเขาใช้บริการเว้นช่วงคันละกว่าหนึ่งชั่วโมง พวกเขารอรถเมล์สายเดียวกับข้าพเจ้าเหมือนกัน
อีกเกือบครึ่งชั่วโมง รถเมล์ครีมแดงสายที่รอแล่นเข้าจอดป้าย ข้าพเจ้ายัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง รีบก้าวขึ้นรถแล้วหาที่นั่งทันทีจนเป็นสัญชาตญาณไปซะแล้ว
ห่างจากคนขับไม่มาก คนขับรถเมล์คันนี้เป็นหญิงอายุราวสี่สิบเห็นจะได้ ไม่ได้เหลียวมองพวกเด็กนักเรียนอาชีวะขึ้นตามมาหรือไม่ แต่เดาได้ว่าพวกเขาคงไม่ยอมพลาดรถเที่ยวนี้แน่นอน
โชเฟอร์สาวไม่ได้ขับอย่างเรียบรื่นนุ่มนวล หล่อนเหยียบคันเร่งตะบึงไม่เบาเลยทีเดียว ทั้งยังเบรกกระตุกบ่อยๆ ในยามนั้นถนนยังมีรถหนาตา หล่อนจึงไม่ได้โชว์ฝีมือขับอย่างสมใจนัก ท่าทางหล่อนไม่ค่อยสบอารมณ์เลย
ถึงทางที่จะต้องเบี่ยงเข้าช่องทางขวาเพื่อตรงไปผ่านสี่แยก แต่รถติดมากในช่องทางบังคับเลี้ยวซ้าย โชเฟอร์สาวบีบแตรสั้นๆส่งสัญญาณบอกคนขับรถคันหน้าให้ขยับอีกเล็กน้อยพอให้หักเปลี่ยนเลนไปได้บ้าง แต่คันหน้ายังนิ่ง เหยียบเบรก
หล่อนคงหงุดหงิดบ้างเลยตะโกน
“ป๊อป แกช่วยเอาหน้าสวยไปบอกคนขับรถคันหน้าให้เลื่อนหน่อยซิ จะได้ไปได้ซะที”
หล่อนบอกกระเป๋ารถเมล์หญิงเพื่อนร่วมงานที่อยู่ตอนท้าย เรียกความขบขันได้บ้างสำหรับคนในรถเมล์ที่รู้สึกหน่ายกับสภาพจราจรติดแหง็ก
จนเมื่อรถคันข้างหน้าขยับแล่นไปตามจังหวะไฟเขียว โชเฟอร์รีบเร่งเครื่องเบี่ยงเข้าทางตรงมุ่งผ่านสี่แยกไปป้ายหน้าต่อไป
จนกระทั่งถึงที่หมายข้าพเจ้าก้าวลงเดินไปยืนรอต่อรถสองแถวอีกทอดหนึ่งตรงอีกฟากหนึ่งหน้าวัดใหญ่ ไม่เห็นเด็กนักเรียนอาชีวะสามคนเดินตามมายืนรอต่อรถไปโรงเรียนที่ไปทางเดียวกัน
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเห็นพวกเขาเดินข้ามถนนมายืนรอรถสองแถวเช่นกัน ในมือของคนผิวเข้มถือขวดเครื่องดื่มเกลือแร่ยี่ห้อหนึ่ง แดดเจิดจ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น รถสองแถวมาจอดตรงหน้าพอดี รีบขึ้นไปนั่งข้างในหลบแดด
สามหนุ่มอาชีวะตามขึ้นมานั่งตรงข้าม ในวัยสดใสวัยสนุกสนานเป็นสำคัญมีเรื่องคุยกันตลอดเวลา คนผิวเข้มยกขวดเครื่องดื่มขึ้นจิบแล้วปิดฝาขวด หมุนอ่านฉลากข้างขวดบอกข้อความส่วนผสมเครื่องดื่มนั้นก่อนพูดกับเพื่อนว่า
“ยี่ห้อนี้มีโซเดียมเยอะว่ะ”
คนที่สวมรองเท้านั่งถัดไปอีกคนเอื้อมมือมาหยิบขวดเครื่องดื่มไปจากมือคนผิวเข้ม ขอจิบชิมรสชาติบ้าง อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ก่อนส่งขวดคืนเพื่อน ไม่มีความเห็นอะไรนอกจากพยักหน้าหงึกๆ แล้วคนผิวเข้มเปลี่ยนเรื่องคุยถามว่า
“มึงมีค่ารถมั้ย เดี๋ยวกูออกเอง จ่ายทีเดียวสามคนเลย ไม่ต้องเสียเวลา โอเคนะ”
เสียงคุยดังเข้าโสตประสาท เป็นโอกาสบันทึกอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่แสนจะธรรมดาไม่สลักสำคัญของวันหนึ่ง ไม่มีพิเศษ ไม่มีสีสัน ไม่มีแสงระยิบวิบวับ เรียกร้องความสนใจใดๆ
แค่เป็นวันปลอดโปร่งวันหนึ่งที่เคลื่อนผ่านคล้อยอ้อยสร้อยเยือกเย็นในแสงแรงร้อนของแดดยามสายอย่างนั้นเอง
19/7/2568