Thursday, July 31, 2025
More
    Homeเรื่องสั้น-วรรณกรรมเรื่องเล่าในรถร้อน EP.53

    เรื่องเล่าในรถร้อน EP.53

    สายลมเย็นกับเม็ดฝนปรอยปลิวกระเซ็นแทรกผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างรถเมล์ขณะแล่นตะบึงในเช้าวันหนึ่งกลางวสันตฤดู

    โชเฟอร์หนุ่มใหญ่เหยียบคันส่งเต็มแรงเมื่อได้จังหวะเคลื่อนไปข้างหน้าเสียทีหลังจากคืบคลานและติดหนึบมานานหลายช่วงในย่านเมืองหนาแน่นจนกระทั่งหลุดออกมาถึงชานกรุง

    อีกวาระของการเดินทางตามครรลองของความเป็นไปแล้วในชีวิตอีกหนึ่งวันของกาลดำเนิน

    ในรถโดยสารขนส่งมวลชนรถสีครีมแดงบ่งระบุความแตกต่างของสถานะชั้นชนได้พอสังเขป ผู้คนหญิงชายเด็กนักเรียนไปจนถึงผู้สูงวัย เป็นกลุ่มชนอีกส่วนหนึ่งของสังคม

    แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพลังอันสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศก็ตาม แต่มีความหมายในฐานะพลเมืองเท่าเทียมกับชนชั้นเหนือกว่าทุกประการ

    บนที่นั่งด้านซ้ายหน้าสุดเป็นเด็กหนุ่มสวมเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลาย อยู่ในคลองสายตาอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อมองไปเบื้องหน้า หากจะละสายตาหันเหไปมองถนนดูภาพข้างทางก็เป็นเรื่องธรรมดาง่ายดาย

    แต่ภาพเด็กหนุ่มนักเรียนฉุดดึงสายตาให้เพ่งพิศพินิจพิจารณาขึ้น เขาถือกระจกส่องหน้ากลมเล็กส่องดูหน้าตัวเอง ทำให้เป็นจุดสนใจเพิ่มขึ้น

    เขาไว้ผมยาวหนาแบบวัยรุ่น ใส่ตุ้มหูสีเงินข้างขวา ส่วนข้างซ้ายไม่เห็นถนัดนักว่าใส่หรือไม่ คิดว่าคงส่องหาสิวเสี้ยน ดูผิวหน้าตามประสาวัยเริ่มเป็นหนุ่ม

    ผ่านไปสักพักเริ่มมีอากัปกริยาวุ่นอยู่กับใบหน้า เขากำลังใช้เครื่องประทินผิวหรือเมคอัพผัดแต่งใบหน้าง่วนไม่สนใจความเป็นไปของการเดินทางเลย

    ข้าพเจ้ามองเพลินจนสบเข้ากับลูกนัยน์ตาในกระจกใบนั้น เลยเฉไปมองนอกรถ รู้สึกตัวอยู่ครามครันว่าเสียมารยาทแล้ว หนุ่มนักเรียนคนนั้นคงคิดในใจว่า

    “นี่ไม่รู้รึไงคนกำลังผัดแป้งแต่งหน้าทาปาก จะไปโรงเรียน อีตานี่มองทำไมวะ”

    ใช่เลยมันเป็นวิถีของเขา เราไม่ควรจ้องมอง แม้บังเอิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ตามที การเลือกใช้ชีวิตเป็นสิทธิที่ไม่ควรมีใครมาขีดเส้นกำหนด เป็นสิ่งที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในโลกปัจจุบัน เสรีภาพคือสุดยอดปรารถนาของทุกชีวิต

    รถเมล์เข้าป้ายจอดนิ่งให้ผู้โดยสารสามสี่คนลง เด็กหนุ่มนักเรียนที่ลุกก้าวเดินตามลงอีกคนกลายเป็นหนุ่มหน้าขาวใสแจ่มกระจ่างหวานทรานสฟอร์มเหมือนสาวน้อยในบัดดล เดินลงรถอย่างมั่นใจสุดที่จะไปแสวงหาวิชาความรู้เหมือนเยาวชนทั่วไป

    จากป้ายนั้นถัดไปก็ถึงที่หมาย ก้าวไปตามทางเดินข้ามสะพานลอยไปอีกฟาก ข้าพเจ้าไม่คิดจะนั่งรถสองแถวอีกทอด ด้วยบรรยากาศฝนปรอยฝอยเล็กๆกำลังสบาย พอเดินไหวอีกไม่เกินสามกิโลแค่นั้น

    พอผ่านตลาดสดไปได้ไม่มากนัก ข้างหน้าบริเวณปากทางหมู่บ้านทันสมัยโมเดิร์น

    หญิงชราร่างผอมบางคนหนึ่งหิ้วสะพายบ่ากระเป๋าผ้ามือขวาถือไม้เท้า เดินกระย่องกระแย่งข้างหน้า ข้าพเจ้าสาวเท้าเดินขึ้นหน้าผ่านไปสักเล็กน้อย ได้ยินเสียงแหลมเล็กสั่นพร่าข้างหลังว่า

    “เดี๋ยวก่อน ช่วยพาฉันเดินไปตรงนั้นหน่อยเถอะ ฉันเดินไม่ค่อยไหว”

    เธอหมายถึงร้านค้าตึกแถวข้างหน้าห่างไปราวสิบกว่าเมตร ข้าพเจ้าหันไปถามว่า

    “ยายจะไปไหนล่ะนี่”

    หญิงชราตอบว่า

    “มาหาคนรู้จักกันแต่ไม่เจอ โทรหาก็ไม่มีใครรับสาย”

    “ยายอยู่แถวนี้เหรอ”

    ข้าพเจ้าถาม

    “เปล่า ฉันอยู่แถววัดหงส์ ปากเกร็ด โน่น กำลังจะกลับ”

    หญิงชราตอบ

    “ฉันไม่มีบ้านหรอก ได้อาศัยคนอื่นเขาให้ที่ทางพักเท่านั้นเอง เออ พอจะให้เงินฉันซื้อข้าวกินสักมื้อได้ไหม”

    นางเอ่ยขึ้นมาในทันที ในขณะนั้นข้าพเจ้าตอบไปว่า

    “ผมก็ไม่มีเหมือนกัน พอมีติดตัวแค่ค่ารถเมล์ เอางี้แล้วกันผมให้ยายยี่สิบนะ แล้วยายไปหาเพิ่มเองนะครับ”

    พร้อมล้วงเงินส่งให้ก่อนเดินจากไป ไม่กล้าหันกลับไปมอง มันรู้สึกสะท้อนสะท้านใจกับชีวิตหนึ่งระหว่างทางกลับบ้าน

    ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าใจ ไม่อาจบ่งบอกระบุว่าเกิดอะไรกับผู้คนในอีกมุมหนึ่งของเมืองที่สว่างสดใสแต่ดูพร่าเลือน

    หญิงชราร่างบอบบางเดินก้าวทีละคืบ แม้เหนื่อยล้าแต่ไม่ยอมนั่งพัก นางบอกว่า

    ฉันนั่งแล้วลุกลำบาก ขอยืนพิงเสาไฟก่อนสักครู่นะ”

    คำสนทนาสุดท้ายก่อนจากกัน

    26/7/2568

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments