สายลมเย็นกับเม็ดฝนปรอยปลิวกระเซ็นแทรกผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างรถเมล์ขณะแล่นตะบึงในเช้าวันหนึ่งกลางวสันตฤดู
โชเฟอร์หนุ่มใหญ่เหยียบคันส่งเต็มแรงเมื่อได้จังหวะเคลื่อนไปข้างหน้าเสียทีหลังจากคืบคลานและติดหนึบมานานหลายช่วงในย่านเมืองหนาแน่นจนกระทั่งหลุดออกมาถึงชานกรุง
อีกวาระของการเดินทางตามครรลองของความเป็นไปแล้วในชีวิตอีกหนึ่งวันของกาลดำเนิน
ในรถโดยสารขนส่งมวลชนรถสีครีมแดงบ่งระบุความแตกต่างของสถานะชั้นชนได้พอสังเขป ผู้คนหญิงชายเด็กนักเรียนไปจนถึงผู้สูงวัย เป็นกลุ่มชนอีกส่วนหนึ่งของสังคม
แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพลังอันสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศก็ตาม แต่มีความหมายในฐานะพลเมืองเท่าเทียมกับชนชั้นเหนือกว่าทุกประการ
บนที่นั่งด้านซ้ายหน้าสุดเป็นเด็กหนุ่มสวมเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลาย อยู่ในคลองสายตาอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อมองไปเบื้องหน้า หากจะละสายตาหันเหไปมองถนนดูภาพข้างทางก็เป็นเรื่องธรรมดาง่ายดาย
แต่ภาพเด็กหนุ่มนักเรียนฉุดดึงสายตาให้เพ่งพิศพินิจพิจารณาขึ้น เขาถือกระจกส่องหน้ากลมเล็กส่องดูหน้าตัวเอง ทำให้เป็นจุดสนใจเพิ่มขึ้น
เขาไว้ผมยาวหนาแบบวัยรุ่น ใส่ตุ้มหูสีเงินข้างขวา ส่วนข้างซ้ายไม่เห็นถนัดนักว่าใส่หรือไม่ คิดว่าคงส่องหาสิวเสี้ยน ดูผิวหน้าตามประสาวัยเริ่มเป็นหนุ่ม
ผ่านไปสักพักเริ่มมีอากัปกริยาวุ่นอยู่กับใบหน้า เขากำลังใช้เครื่องประทินผิวหรือเมคอัพผัดแต่งใบหน้าง่วนไม่สนใจความเป็นไปของการเดินทางเลย
ข้าพเจ้ามองเพลินจนสบเข้ากับลูกนัยน์ตาในกระจกใบนั้น เลยเฉไปมองนอกรถ รู้สึกตัวอยู่ครามครันว่าเสียมารยาทแล้ว หนุ่มนักเรียนคนนั้นคงคิดในใจว่า
“นี่ไม่รู้รึไงคนกำลังผัดแป้งแต่งหน้าทาปาก จะไปโรงเรียน อีตานี่มองทำไมวะ”
ใช่เลยมันเป็นวิถีของเขา เราไม่ควรจ้องมอง แม้บังเอิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ตามที การเลือกใช้ชีวิตเป็นสิทธิที่ไม่ควรมีใครมาขีดเส้นกำหนด เป็นสิ่งที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในโลกปัจจุบัน เสรีภาพคือสุดยอดปรารถนาของทุกชีวิต
รถเมล์เข้าป้ายจอดนิ่งให้ผู้โดยสารสามสี่คนลง เด็กหนุ่มนักเรียนที่ลุกก้าวเดินตามลงอีกคนกลายเป็นหนุ่มหน้าขาวใสแจ่มกระจ่างหวานทรานสฟอร์มเหมือนสาวน้อยในบัดดล เดินลงรถอย่างมั่นใจสุดที่จะไปแสวงหาวิชาความรู้เหมือนเยาวชนทั่วไป
จากป้ายนั้นถัดไปก็ถึงที่หมาย ก้าวไปตามทางเดินข้ามสะพานลอยไปอีกฟาก ข้าพเจ้าไม่คิดจะนั่งรถสองแถวอีกทอด ด้วยบรรยากาศฝนปรอยฝอยเล็กๆกำลังสบาย พอเดินไหวอีกไม่เกินสามกิโลแค่นั้น
พอผ่านตลาดสดไปได้ไม่มากนัก ข้างหน้าบริเวณปากทางหมู่บ้านทันสมัยโมเดิร์น
หญิงชราร่างผอมบางคนหนึ่งหิ้วสะพายบ่ากระเป๋าผ้ามือขวาถือไม้เท้า เดินกระย่องกระแย่งข้างหน้า ข้าพเจ้าสาวเท้าเดินขึ้นหน้าผ่านไปสักเล็กน้อย ได้ยินเสียงแหลมเล็กสั่นพร่าข้างหลังว่า
“เดี๋ยวก่อน ช่วยพาฉันเดินไปตรงนั้นหน่อยเถอะ ฉันเดินไม่ค่อยไหว”
เธอหมายถึงร้านค้าตึกแถวข้างหน้าห่างไปราวสิบกว่าเมตร ข้าพเจ้าหันไปถามว่า
“ยายจะไปไหนล่ะนี่”
หญิงชราตอบว่า
“มาหาคนรู้จักกันแต่ไม่เจอ โทรหาก็ไม่มีใครรับสาย”
“ยายอยู่แถวนี้เหรอ”
ข้าพเจ้าถาม
“เปล่า ฉันอยู่แถววัดหงส์ ปากเกร็ด โน่น กำลังจะกลับ”
หญิงชราตอบ
“ฉันไม่มีบ้านหรอก ได้อาศัยคนอื่นเขาให้ที่ทางพักเท่านั้นเอง เออ พอจะให้เงินฉันซื้อข้าวกินสักมื้อได้ไหม”
นางเอ่ยขึ้นมาในทันที ในขณะนั้นข้าพเจ้าตอบไปว่า
“ผมก็ไม่มีเหมือนกัน พอมีติดตัวแค่ค่ารถเมล์ เอางี้แล้วกันผมให้ยายยี่สิบนะ แล้วยายไปหาเพิ่มเองนะครับ”
พร้อมล้วงเงินส่งให้ก่อนเดินจากไป ไม่กล้าหันกลับไปมอง มันรู้สึกสะท้อนสะท้านใจกับชีวิตหนึ่งระหว่างทางกลับบ้าน
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าใจ ไม่อาจบ่งบอกระบุว่าเกิดอะไรกับผู้คนในอีกมุมหนึ่งของเมืองที่สว่างสดใสแต่ดูพร่าเลือน
หญิงชราร่างบอบบางเดินก้าวทีละคืบ แม้เหนื่อยล้าแต่ไม่ยอมนั่งพัก นางบอกว่า
“ฉันนั่งแล้วลุกลำบาก ขอยืนพิงเสาไฟก่อนสักครู่นะ”
คำสนทนาสุดท้ายก่อนจากกัน
26/7/2568