บนถนนช่วงหัวค่ำในฤดูหนาว แสงตะวันลับตาไปเร็วกว่าวันก่อนๆ
แสงไฟจากหน้ารถเมล์ส่องสว่างเห็นสภาพการจราจรด้านหน้ามีรถหนาแน่นและติดขัดนานกว่าปกติ
คนขับรถเมล์รู้สึกแปลกใจ มองไปข้างหน้าใกล้ป้ายรถเมล์มีรถจอดเปิดไฟกะพริบฉุกเฉินอยู่สองสามคัน
“เอาแล้ว”
คนขับหลุดคำพูดออกมาลอยๆ คงสันนิษฐานเบื้องต้นว่ามีอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนหรืออะไรสักอย่าง
ถนนถูกปิดสองช่องทางด้านซ้าย ต้องค่อยๆ เลาะไปทางช่องขวาสุดทีละน้อยๆ จนระยะประมาณสามสิบเมตร คนขับรถเมล์มองเห็นชายคนหนึ่งในเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง คอยโบกมือให้ยวดยานเบี่ยงไปแล่นเลนขวาสุดแทน
คนขับรถเมล์มองไปเบื้องหน้าช่องทางเดินรถตรงกลาง เห็นร่างตะคุ่มของมนุษย์เพศชายนอนหงายแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน ไม่ชัดเจนว่าสภาพเป็นอย่างไร บาดเจ็บหมดสติหรือสิ้นลมหายใจไปแล้ว
เหตุการณ์เป็นอย่างไรไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่คงเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆเนื่องจากยังไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพหรือหน่วยกู้ภัยอยู่บริเวณนั้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร
ด้านซ้ายสุดของถนนช่วงนั้นมีรถเก๋งสีน้ำตาลจอดเปิดไฟกะพริบ ถัดมาด้านท้ายเป็นรถแท็กซี่สีเขียวเหลือง และรถกระบะกั้นคอกด้านท้ายสุด
“โธ่ ตาค้างอยู่เลย”
คนขับพูดกับตัวเอง ขณะขับรถเลื่อนผ่านไปส่วนผู้โดยสารในรถเมล์คันนั้นชะเง้อมองด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
บางคนมีทีท่าสลดใจและเงียบงัน ด้วยความเวทนาต่อผู้ประสบอุบัติเหตุที่นอนสงบนิ่งอย่างเดียวดายบนพื้นถนนนั้น ความรู้สึกของแต่ละคนคงไม่แตกต่างกันต่อภาพที่เห็นบนท้องถนน
บางคนอาจจะคุ้นเคยเพราะเคยพบเห็นอยู่บ่อยๆ จากการใช้ชีวิตบนท้องถนนตลอดมาของช่วงชีวิตตนเอง ได้แต่ถอนหายใจเท่านั้นไม่มีเสียงพูดคุยหรือวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ เพราะต่างคนต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน เมื่อหันมามองสบตากันก็ได้แต่นิ่งและเมินผินหน้าไปทางอื่นเท่านั้น
ชีวืตมนุษย์ช่างเต็มไปด้วยความเสี่ยงอันตรายเสมอๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเผชิญสถานการณ์เลวร้ายอย่างนี้เมื่อไหร่ตอนไหน
ทุกชีวิตต้องดำเนินไปอย่างมีสติเท่านั้น ตราบที่ยังหายใจเข้าออกอยู่ทุกเสี้ยววินาที
เป็นเหตุการณ์ที่ปลุกจิตปลอบใจเตือนให้ระลึกอย่างไม่ประมาทกับชีวิตถ้ายังอยากมีลมหายใจต่อไปบนโลกใบนี้
เราไม่มีทางกำหนดรู้ชะตากรรมตัวเองในทางธรรมชาติที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบเหมือนทะเลไร้คลื่นลม ซึ่งอาจจะเกิดพายุรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลันไม่ทันได้ตั้งตัวหรือยั้งคิด
ความไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่ต้องระลึกถึงอยู่ตลอดวินาทีที่ยังหายใจอยู่ แม้ว่าทุกวันนี้จะมีสิ่งเร้าให้ไขว้เขวหลงลืมขาดสติขาดความตั้งมั่น เพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ
ยกตัวอย่างง่ายๆ โทรศัพท์มือถืออย่างไรนั้นเล่า ที่เราได้เห็นภาพผู้คนจับจ้องมองมันตลอดเวลา แม้กระทั่งนั่งนอนยืนเดิน สวนทางไปตามถนนรนแคม
คนแทบจะไม่มองสภาพแวดล้อมรอบตัวเองเลยด้วยซ้ำไป
ไม่มีใครคิดเลยว่าเจ้าโทรศัพท์เครื่องเล็กๆในมือจะนำภัยมาถึงตัวได้โดยง่ายดายเพียงชั่วให้ความสนใจบนหน้าจอเพียงแวบเดียว
ธรรมดาการสัญจรเดินทางของมนุษย์ในเมืองใหญ่ที่หนาแน่นทั้งคนทั้งรถรา มีความเสี่ยงภัยอันตรายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ทุกขณะอยู่แล้ว เราควรจะยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นแต่กลับกลายเป็นเพิ่มความประมาทขึ้นแทนที่เสียอย่างนั้น จากการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างไม่จำเป็นในระหว่างการเดินทาง
แม้ภาพที่ประสบพบเห็นผ่านไปแล้ว บอกไม่ได้ว่าต้นสายปลายเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ตั้งข้อสันนิษฐานอย่างไม่ผิดเพี้ยนได้ว่าเกิดจาก “ความประมาท” ของมนุษย์เองนั่นแล
เพียงแต่ใครประมาทกว่าใครเท่านั้น ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งร่างกายและทรัพย์สินอย่างที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เหตุการณ์นี้บ่งบอกเตือนให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการเดินทางไปไหนมาไหนอย่างมาก
แต่พอเนิ่นนานผ่านไปอาจจะทำให้ลืมเลือนไปได้ไม่ยาก เพราะจิตใจและสติของมนุษย์มันอ่อนไหวไม่นิ่งพอจะจดจำทุกวินาที
เราคงต้องพบเจอเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดบนท้องถนนไปตลอดไม่มีวันจบ
10/11/2567