เย็นวันที่ 1 พ.ย. 68 เพจเฟซบุ๊ก ดร.หิมาลัยผิวพรรณ ได้โพสต์รูปพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีข้อความในภาพว่า
ยังไม่ปิดสำนวน ฟังความจริงจากพล.ต.ท.ไตรรงค์ พลิกข้อมูล3คดี ยันไม่มี “กลับคำให้การ”ชุดจับกุมทำงานอย่างต่อเนื่อง
ข้อความที่ “เสธ.หิมาลัยโพสต์ มีดังนี้
ตามที่ NationTV ได้นำเสนอข่าว ในวันนี้ ทำให้ท่านได้ฟังความจริง จากพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ เมื่อท่านทราบแล้ว แล้วท่านก็จะแยกแยะได้ครับ ว่าใครเป็นบัณฑิต ใครเป็นคน…( ใส่ข้อความได้ ตามใจท่านพิจารณาครับ)
1 พฤศจิกายน 2568 วาระแห่งชาติในการต่อสู้กับ “ขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ” บานปลายกลายเป็น “ศึกรบกันเอง” ของคนไทยด้วยกัน
โดยเฉพาะเมื่อมีการลาก “นักการเมือง ช.” เข้ามาเกี่ยวข้อง และภายหลังมีการเปิดเผยชื่อว่า หมายถึง “สส.กฤต” ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม
ฝ่าย สส.กฤต ที่ถูกอ้างว่าเป็น “นักการเมือง ช.” ออกมาโต้ว่า ตนไม่เคยเกี่ยวข้องกับ “สแกมเมอร์” แต่เคยถูกจับฐานจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีจบไปหมดแล้ว ถือว่าได้พิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม
ขณะที่ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ “ผู้นำจิตวิญญาณพรรคกล้าธรรม” ก็ออกมากางปีกป้อง สส.กฤต โดยเรียกร้องให้สังคมแยกแยะระหว่าง “สแกมเมอร์” กับ “พนันออนไลน์” และขอความเป็นธรรมให้ สส.กฤต เนื่องจากทุกคนมีอดีต แต่ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมแล้ว รวมทั้งตัวผู้กองธรรมนัสเองด้วย
หนำซ้ำยังพูดเชิงขู่ว่า สามารถแฉประวัติ สส.400 – 500 คนในสภาได้เหมือนกัน เพราะทุกคนก็ล้วนมีอดีตทั้งสิ้น
แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น แถมยังลุกลามบานปลาย เมื่อ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาเปิดผังเครือข่ายพนันออนไลน์ของ สส.กฤต
อ้างข้อมูลว่า สาเหตุที่รอดคดีมาได้ เนื่องจากลูกน้องของ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT 4 หรือ ชุดปฏิบัติการที่ 4 ของ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.)เป็นชุดจับกุม สส.กฤต มีพฤติการณ์ “กลับคำให้การ” ในตอนหลัง ทำให้ สส.คนดังพ้นคดี อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง
การขับเคลื่อนข้อมูลชุดนี้ เป็นไปอย่างแข็งขัน ทั้งจาก นายอัจฉริยะเอง และอดีตตำรวจใหญ่ระดับรอง ผบ.ตร. อย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งกำลังมีคดีพนันออนไลน์ในมือองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. และคดีที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในศาลปกครองสูงสุด งวดเข้ามาเต็มที
งานนี้จึงไม่ได้เป็นแค่การทำลายชื่อเสียง “ชุดจับกุม” ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการ PCT4 เท่านั้น แต่ยังเป็นการดิสเครดิต พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองจเรตำรวจแห่งชาติ และเป็นหัวหน้าอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอยู่ด้วย
โดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังเคยเป็นผู้บัญชาการไซเบอร์ หรือ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อีกตำแหน่งหนึ่ง และคลุกคลีกับการปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ รวมถึงคอลเซ็นเตอร์มาเนิ่นนาน
เมื่ออีกฝ่ายเปิดปฏิบัติการ “แฉรายวัน” จึงร้อนถึง พล.ต.ท. ไตรรงค์ ต้องออกมาเปิดใจกับ “เนชั่นออนไลน์” ถึงข้อกล่าวหาที่พัวพันถึงลูกน้อง ชุดปฏิบัติการ PCT4 เป็นชุดจับกุม สส.กฤต
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า คดีที่เกี่ยวกับ สส.กฤต ไม่ได้มีคดีเดียว แต่มีถึง 3 คดี และเป็นการจับกุมจากชุดปฏิบัติการ PCT4 ลูกน้องของตน ทั้ง 3 คดี และยังต่างพื้นที่กันด้วย จึงเกิดคำถามว่า หากชุดปฏิบัติการ PCT4 ต้องการช่วยเหลือ สส.กฤต ในทางคดีจริง จะขยายผลจับกุมดำเนินคดีถึง 3 คดีได้อย่างไร
พล.ต.ท.ไตรรงค์ หรือ “บิ๊กอรรถ” ขยายความว่า คดีแรก เกิดขึ้นเมื่อปี 2565 ท้องที่ สภ.เมืองสงขลา มีการจับกุมกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นแอดมินเว็บพนันออนไลน์ และพบความเชื่อมโยงกับ สส.กฤต หรือ นายชนนพัฒฐ์ ขณะนั้นยังไม่ได้เป็น สส. แต่เป็นผู้ช่วย สส.ในพื้นที่
ภายหลังจึงมีการขยายผลจับกุมและแจ้งข้อหากับ นายชนนพัฒฐ์ ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน และฟอกเงิน
ต่อมายังมีการขยายผลคดีต่อเนื่อง และพบว่าเครือข่ายเว็บพนันไม่ได้หยุดดำเนินการหลังถูกจับกุมครั้งแรก แต่มีการย้าย “จุดการตลาด” ไปที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ชุดจับกุมชุดเดิมจึงตามไปจับ และสอบสวน กระทั่งมีการซัดทอดนายชนนพัฒฐ์ จึงมีการแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติม ในท้องที่ สภ.หาดใหญ่ ในข้อหา ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน และฟอกเงิน เหมือนที่ สภ.เมืองสงขลา
สองคดีนี้เกิดขึ้นในปีเดียวกัน คือ ปี 2565 เพียงแต่ต่างเดือน เพราะเป็นการขยายผล เริ่มจากเดือน ก.พ. มาจนถึงเดือน มี.ค.และ เม.ย.
ต่อมาในปี 2566 ช่วงต้นปี มีการจับกุมเว็บพนันออนไลน์ ชื่อ “สายเปย์” ในท้องที่ สน.สายไหม กรุงเทพมหานคร มีการสืบสวนและสอบปากคำพยาน ปรากฏว่ามีหลักฐานโยงถึงนายชนนพัฒฐ์ ชุดจับกุม PCT4 จึงรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม กระทั่งเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายชนนพัฒฐ์ อีก 1 คดี ในท้องที่ สน.เพชรเกษม ในข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน และฟอกเงิน
พล.ต.ท.ไตรรงค์ สรุปว่า การขยายผลจับกุมจากคดีแรกที่ สภ.เมืองสงขลา ต่อเนื่องถึง สภ.หาดใหญ่ ในปี 2565 และยังดำเนินคดีเพิ่มอีกในท้องที่นครบาล ในปีถัดมา คือปี 2566 ถามว่า การปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ของชุดจับกุม จะมีเจตนาช่วยเหลือ นายชนนพัฒฐ์ ในฐานะผู้ต้องหาได้อย่างไร
อดีตผู้บัญชาการไซเบอร์ และหัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT บอกอีกว่า ปัญหาของเรื่องนี้มีการอ้างการสอบสวนเพิ่มเติมของ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา ในคดีแรก มีการนัดสอบปากคำชุดจับกุม เพื่อนำไปประกอบในสำนวนคดี โดยเอกสารการสอบสวนเพิ่มเติม ลงวันที่ 24 มิ.ย.2565
แต่ปรากฏว่าในวันดังกล่าว ไม่มีการสอบสวนกันจริงๆ เพราะการสอบสวนเกิดขึ้นจริงในวันที่ 30 มิ.ย.2565 และคำให้การของชุดจับกุม ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือ “กลับคำให้การ” แต่อย่างใด เรื่องนี้จึงมีพิรุธหลายอย่าง
ต่อมามีการร้องเรียนเรื่องนี้ และมีการส่งเรื่องให้ “จเรตำรวจ” ตั้งเรื่องสอบสวน ผลการสอบของจเรฯ สรุปออกมาแล้วว่า ไม่มีการ “กลับคำให้การ” เพราะในสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติม โดยปกติหากมีการกลับคำให้การ หรือเปลี่ยนคำให้การเดิม จะต้องมีการถามย้ำเพื่อยืนยันในตอนท้ายของสำนวนว่า ผู้ให้ปากคำยืนยันตามคำให้การใหม่ แต่ในสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติม ไม่มีข้อความนี้พิมพ์อยู่เลย ย่อมแปลว่าเป็นการยืนยันคำให้การเดิมเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น
และเท่าที่ตนทราบ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา ที่ทำหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติม ก็ให้การกับจเรตำรวจในทำนองว่า ชุดจับกุมไม่มีการกลับคำให้การเช่นกัน เหตุนี้เองจเรตำรวจจึงสรุปว่า คำร้องไม่มีมูล เนื่องจากไม่มีการกลับคำให้การ
พล.ต.ท.ไตรรงค์ สรุปว่า หากให้แจกแจงคดีที่เกี่ยวกับนายชนนพัฒฐ์ จะพบว่ามีถึง 3 คดี และบางคดียังอยู่ในกระบวนการ ไม่ได้จบหรือถูกตัดตอนไปทั้งหมด ได้แก่
หนึ่ง คดีที่ สภ.เมืองสงขลา มี 2 คดี 2 ข้อหา กล่าวโทษ สส.กฤต ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน คดีนี้พนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง แต่อัยการกลับมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง อ้างเหตุคำให้การในการสอบเพิ่มเติม “กำกวม” ทั้งที่การสอบเพิ่มเติม ไม่มีข้อความใดหักล้างคำให้การเดิมของชุดจับกุม แต่กลับมีการลงวันที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ใช่ความผิดของชุดจับกุมเลย
สำนวนคดีนี้ เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จึงส่งกลับมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ปรากฏว่า ภาค 9 ไม่ทำความเห็นแย้ง ทำให้คดีจบไป
กล่าวโทษ สส.กฤต ในข้อหาฟอกเงิน คดีนี้ยังไม่ชัดเจนว่าถึงขั้นตอนไหน
สอง คดีที่ สภ.หาดใหญ่ มี 2 ข้อหาเช่นกัน พนักงานสอบสวนมีความเห็น “ไม่ฟ้อง” อัยการเห็นด้วย คือสั่งไม่ฟ้อง ส่งกลับมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ปรากฏว่า ภาค 9 แย้งความเห็นของอัยการ จึงต้องส่งไปสำนวนให้อัยการสูงสุดชี้ขาด
เท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ อัยการสูงสุดสั่งสอบเพิ่มเติม ยังไม่ทราบผล
สาม คดีที่ สน.เพชรเกษม กล่าวโทษเมื่อปี 2566 ใน 2 ข้อหาเช่นเดียวกัน ขณะนี้กำลังตรวจสอบ ว่าดำเนินคดีกับ สส.กฤต ถึงไหนแล้ว เพราะระหว่างที่กล่าวโทษ นายชนนพัฒฐ์ เป็น สส.แล้ว
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้ง 3 คดียังไม่ได้จบไปทั้งหมด และทำให้เห็นว่าชุดจับกุมทำงานเต็มที่ ไม่มีกลับคำให้การ และได้ขยายผลต่อเนื่องหลายท้องที่จนมีการดำเนินคดีเป็นแพ็กใหญ่ดังกล่าว
