ไม่ใช่แค่Moody ที่ปรับระดับประเทศไทย ทั้งIMFและ World Bank เป็นครั้งแรกของไทยอัตราการเติบโตทาง ศก. ต่ำกว่า กัมพูชาและ สปป.ลาว
พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ออกมาโต้ กรณี
Moody”s ได้ปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทยลงจาก “Stable” เป็น “Negative” ว่า เป็นเรื่องไม่น่าเป็นห่วงนั้น ว่า
“รัฐบาลคงไม่เข้าใจระบบเศรษฐกิจมหภาคในภาพรวมของประเทศและของโลกดีพอ และการที่Moody”s ได้ปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทยลงประเภท Senior unsecured bond ที่ Baa1 และเปลี่ยนแนวโน้ม (Outlook) เป็น “Negative” จาก “Stable” เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น
โดยดูจากระบบเศรษฐกืจในรอบปีที่ผ่านมาและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนความสามารถในการแก้ไขมาตรการภาษีสหรัฐฯ นั้น เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะมีผลกระทบอย่างไร ถ้ารัฐบาลไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องระบบเศรษฐกิจก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในภาพรวมได้ ซึ่งเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายค้านที่เป็นห่วง ทั้งนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้ง”
พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า “การเตือนของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ผ่านมา วันนี้ (22 เมษายน 2568) ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (The World Economic Outlook: WEO) ฉบับเดือนเมษายนปี 2025 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของไทย (จีดีพี) ปี 2568 จาก 2.9% เหลือ 1.8%
โดยมีประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่ IMF ปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงต่ำกว่าระดับ 2% เมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น อินเดีย 6.2 % ฟิลิปปินส์ 5.5% เวียดนาม 5.2% อินโดนีเซีย 4.7 %มาเลเซีย 4.1 %
จีน 4.0% ไทย 1.8% จะเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับท้ายๆสุด ส่วนในปี 2569 จีดีพีอาจลดเหลือเพียง 1.6% เท่านั้น“
”ไม่เพียงแต่ IMF หรือ Moodyเท่านั้น ที่ปรับระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ธนาคารโลก (World Bank) ยังปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือโต 1.6% ชะลอลงจากเมื่อเดือนก.พ.68 ที่ได้ประเมินว่าจะเติบโตได้ 2.9% โดยพิจารณาการส่งออกและการลงทุน
จากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงอยู่ในระดับสูงด้วย ขณะเดียวกันเปรียบเทียบอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP)ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก พบว่า
มองโกเลีย โต 6.3% ,เวียดนาม โต 5.8%,ฟิลิปปินส์ โต 5.3% ,อินโดนีเซีย โต 4.7%,จีน โต 4.0% ,กัมพูชา โต 4.0%,มาเลเซีย โต 3.9% ,สปป.ลาว โต 3.5% ส่วนประเทศไทย โต1.6เท่านั้น“ พล.ต.ท.ปิยะฯกล่าว
” รัฐบาลต้องใช้มืออาชีพ ทางด้านการเงินการธนาคารระดับมหภาคที่มีความรู้ความสามารถมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ขนาดธนาคารโลก (World Bank) ยังปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ต่ำกว่าเวียดนาม (โต 5.8%,)ฟิลิปปินส์ (โต 5.3% ) อินโดนีเซีย (โต 4.7%) มาเลเซีย (โต 3.9%) เป็นครั้งแรกที่ กัมพูชา (โต 4.0%) และสปป.ลาว (โต 3.5% )โตกว่าไทยเยอะ
คำแนะนำหรือคำเตือนขององค์การเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ เช่น IMF, Moody,World Bank ฯลร นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถ เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรต้องให้ความสำคัญ รัฐบาลควรพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ พัฒนาอุดสาหกรรมขนาดย่อม พัฒนาstart up เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออก และส่งเสริมการลงทุนขนาดกลางและขนาดใหญ่เพื่อให้รายได้ประชาชนดีมากขึ้น
เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยตกต่ำมาก คนไทยตกงาน สินค้าเกษตร ราคาตกต่ำ มะม่วงราคาตกเหลือ กก.ละ 20 บาท ประชาชนรากหญ้ากำลังจะอดตาย หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น เงินกู้นอกระบบเกลื่อนทุกตลาด ทุกเสาไฟฟ้า
เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ มากกว่า การกู้เงิน 500,000ล้านบาทเพิ่มภาระหนี้ประชาชนให้สูงขึ้น แล้วเอามาแจกโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ขนาด”คนบางคน“ในรัฐบาล ในเรื่องค่าเงินบาทอ่อน/แข็งที่มีผลต่อเศรษฐกิจประเทศอย่างไรยังไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจแท้ๆ เรื่องยากๆ อย่างระบบเศรษฐกิจโดยรวมจะเข้าใจได้อย่างไร นี่คือ ปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข “