“แล้วมึงพาพวกไปดักยิงไอ้หยองมันหรือเปล่า…..”
คราวนี้ชลอซักบ้าง….
“นาย…ผมไม่รู้เรื่องหรอกครับเรื่องนี้…
อดีตมือปืนเสี่ยหยองปฏิเสธ แต่ถูกพันตำรวจเอกมือปราบตะคอกกลับ
“ไอ้เหี้ย… อย่ามาโกหกกู คนอย่างมึงมีหรือไม่เอาคืนคนที่คิดจะฆ่ามึง …”
“เขาว่ามึงเป็นนักเลง คนเป็นนักเลงเขาไม่โกหกกัน ที่กูถาม ไม่ได้หมายความว่าจะเอาเรื่องมึง แค่อยากรู้ มึงไปดักยิงมันจริงไหม….”
แทคติกการสอบสวน ซ้ำด้วยสัญญาลูกผู้ชายของหัวหน้าตำรวจเมืองละโว้ ทำเอานายเทียม ถึงกับนั่งเงียบ เหมือนใช้ความคิด
อีกประมาณ 1 ชั่วโมงต่อจากนั้น นายเทียม ถึงได้เดินออกจากบ้านพักพันตำรวจเอกชลอ โดยไม่มีใครรู้เหมือนครั้งที่เข้ามา
หลังจากนั้น ชลอให้พันตำรวจตรีสำเริง เรียกดาบตำรวจน้อม นักราน และ จ่าสิบตำรวจชิด ทองแถว 2 ตำรวจชัยบาดาล ที่นายเทียมอ้างว่าพาไปเป็นไม้กันหมา ขณะไปพบเสี่ยหยองที่บ้านจังหวัดสระบุรี เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว
ชลอทั้งขู่ทั้งปลอบ เพราะไม่รู้ว่า 2 ตำรวจใต้บังคับบัญชา เกรงกลัวอิทธิพลของลูกชายไบคานอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่จากที่เห็นและที่พูดคุยก็นับว่ามีส่วนเกรงกลัวอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยอมรับว่าไปเป็นเพื่อนนายเทียม เดินทางไปพบนายสมชาย ทายาทไบคานจริง แต่ไม่รู้ว่าทั้ง 2 คนคุยกันเรื่องอะไร
แต่การได้พูดคุยกับอดีตมือปืนเสี่ยหยองที่แปรพักตร์ กับ 2 ตำรวจลูกน้อง ทำให้ชลอ ได้พื้นฐาน และช่องทางในการสืบสวนคลี่คลายคดีต่างๆที่ เสี่ยหยอง-เสี่ยน้อย 2 ลูกชายตัวเอ้ ไบคานที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เมื่อยังไล่ล่าจับกุมไอ้หยองไม่ได้ ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่พิทักษ์กฎหมาย รู้ว่าเรื่องนี้จะต้อง ต้องอาศัยสื่อเท่านั้น ในการช่วยตีแผ่ความเหี้ยมโหดของทายาทไบคาน เป็นการลดอิทธิพลของ 2 ลูกชายไบคานไปในตัว
“เหล็กต้องตีตอนร้อน…..”
ชลอบอกกับสำเริง ถึงข้อปฏิบัติในการให้ข่าวกับสื่อมวลชน
——————————————-
เกือบเที่ยงวันของวันที่ 17 มิถุนายน พุทธศักราช2523
บริเวณสโมสรนายทหารบกจังหวัดลพบุรี
กลุ่มนักข่าวจากหลายสำนักกรูกันวิ่งเข้าไปสัมภาษณ์พันตำรวจเอกชลอ ภายหลังจากเสร็จภารกิจต้อนรับคุณหญิงวิจิตรา พันธุ์คงชื่น นายกสมาคมแม่บ้านพิทักษ์ไทย ที่เดินทางไปเปิดการฝึกอบรมอาขีพให้กับครอบครัวตำรวจที่จังหวัดลพบุรี
“ผู้กำกับครับ..การติดตามจับกุมเสี่ยหยองไปถึงไหนแล้ว เพราะเห็นข่าวเงียบไป…”
เสียงนักข่าวหนุ่มที่ชลอเห็นหน้าจำได้ว่า เป็นนักข่าวจากกรุงเทพฯที่เรียกว่า นักข่าวส่วนกลางถามถึงการติดตามตัวลูกชายมาเฟียใหญ่ที่กลายเป็นอาชญากรคน สำคัญไปแล้ว
“เงียบเงิบที่ไหน ผมส่งตำรวจไปประกบไว้ทุกจุดแล้วที่คิดว่าไอ้หยองจะไปพักพิง เชื่อว่าไม่เกิน 3 วัน จะต้องจับตัวได้แน่ ตอนนี้เข้าใกล้จุดเข้าไปแล้ว…”
ชลอกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงฉาดฉานอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าจับกุมได้ จะมีหลักฐานที่จะใช้มัดตัวนายสมชายได้ไหมครับท่าน….”
นักข่าวหัวเห็ดคนเดิมถามต่อ ขณะที่ชลอตอบทันควันเหมือนเดิม
“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้มีอยู่ 4 คดี ที่จะมัดตัวไอ้หยอง เป็นคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงท้ังนั้น ตำรวจมีหลักฐานสำนวนแน่นหนามาก……”
“ถ้านายสมชายไม่ยอมให้จับ หากมีการต่อสู้ขัดขวางจะทำอย่างไร…”
เสียงผู้สื่อข่าวท้องถิ่น เป็นนักข่าวประจำจังหวัดถามแทรก
“ถ้าขัดขืนจับกุมด้วยการต่อสู้ มีโทษสถานเดียวเท่านั้นคือ ต้องจับตาย…”
คราวนี้เป็นนักข่าวโทรทัศน์สาวถามขึ้นบ้างว่า
“แล้วจะรื้อฟื้นคดี “วันดี ศรีตรัง”ขึ้นมาสางใหม่หรือไม่คะ…”
“ตอนเกิดเหตุ ผมยังไม่ได้มาเป็นผู้กำกับที่นี่ แต่เชื่อว่าคดีของวันดี หากจะรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ คงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
เพราะตามวิธีการทางศาสนาของอิสลาม หลังจากที่ตายไปแล้ว จะต้องมีการทำความสะอาดศพ ต้องรีดเร้นเอาของในร่างกายออกมา แล้วก็ต้องฝังภายใน 24 ชั่วโมง ด้วย ถ้าหากว่าจะมีการขุดศพขึ้นมาใหม่ ในซากศพคงไม่มีอะไรเหลือไว้เป็นหลักฐาน…..”
พันตำรวจเอกชลอกล่าวถึงคดีนางเอกสาวไทยนัยน์ตาเศร้า อดีตภรรยาเพลย์บอยหนุ่มเจ้าพ่อชัยบาดาล
“ผู้กำกับครับ แล้วคดีใหญ่ๆในเขตจังหวัดสระบุรี ที่มีส่วนพัวพันกับนายสมชาย และไบคาน มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง……”
“ความจริงคดีเหล่านี้ไม่อยากพูด ผมรู้ก็รู้ไม่มาก รู้ว่าหลักฐานมันมีแน่ แต่ไม่รู้เขาทำกันอีท่าไหนถึงสั่งไม่ฟ้อง เรื่องก็เลยเงียบไป…”
“เอาอย่างงี้….ขอนักข่าวช่วยเป็นสื่อไปให้ชาวบ้านหนองเต่า ไม่ต้องกลัวว่าคดีนี้จะเป็นมวยล้ม ผมขอเอาหัวเป็นประกัน จะไม่มีมวยล้ม จะติดตามชนิดถึงลูกถึงคน แม้ว่าเขาจะวิ่งไปหาอิทธิพลมาบีบบังคับ มีอันตรายยังไงก็จะไม่มีวันยอมแพ้ พร้อมที่จะสู้อิทธิพล แม้ว่าจะเสี่ยงภัยถึงกับทำให้ตัวตายก็ยอม เพราะว่าประชาชนทั้งประเทศกำลังมองอยู่
ท่านรองณรงค์ สั่งกับผมว่า เพื่อความเป็นธรรม ให้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดด้วยความยุติธรรม ไม่ต้องกลัวอิทธิพลของใคร ขณะนี้ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพวกไบคาน จะขอพูดด้วย เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ แต่ผมไม่ยอมพูดด้วย……”
“ไม่กี่วันนี้ มีชาวบ้านหนองเต่าเขาเอาเขี้ยวเสือมาให้ผมไว้ป้องกันตัว เขาบอกผมได้ยินว่า ไบคาน เรียกมือปืนชั้นยอดจากเมืองเพชรฯ 4 คนมาอยู่ด้วย เพื่อคอยอารักขาไบคาน แต่ทางชาวบ้านหวั่นว่าผมจะถูกลอบยิง เลยเอามาให้ป้องกันตัว….”
พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ โชว์เขี้ยวเสือที่ถักร้อยด้วยไหมสำหรับห้อยคอ ที่ชาวบ้านหนองเต่ามอบให้หมาดๆ ให้นักข่าวดู
“เดี๋ยวผมขอตัว เพราะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพ ไปสมทบกับลูกน้องที่ผมให้ไปประกบตัวนายสมชายอยู่….”
ไม่เกินวันที่ 20 พวกคุณได้ข่าวดีแน่นอน !!!!!
นายตำรวจนักบู๊ให้คำมั่นกับเหยี่ยวข่าวหัวเห็ดทั้งหลาย ก่อนเดินก้าวขึ้นรถเบนซ์ที่ลูกน้องขับมารับออกจากสโมสรนายทหารบกจังหวัดลพบุรี
แต่ก่อนจะเข้ากรุงเทพฯ พันตำรวจเอกชลอ บอก จ่าแป๊ะ คนขับรถให้ไปรับพันตำรวจตรีสำเริง มุยคำ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอชัยบาดาล ที่เขานัดให้มาพบที่กองกำกับ เพื่อที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกัน
เพราะนอกจากจะให้มารายงานสถานการณ์ต่างๆ รวมทั้งความคืบหน้าในสำนวน หรือการตรวจค้นสถานที่แล้ว
ชลอจะได้ให้นายตำรวจรุ่นน้องจากรั้วสามพราน คอยบรีฟ หรือรายงานสถานการณ์ให้กับ รองณรงค์-พลตำรวจเอกณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ ที่มีคำสั่งให้เขาเข้าพบเพื่อรายงานความคืบหน้าด้วยวาจา ก่อนที่จะไปสืบสวนหาข่าวตามแหล่งกบดานของ เสี่ยหยองในกรุงเทพฯต่อไป
ระหว่างทางไปกองกำกับตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี ชลอมองผ่านกระจกเห็นขบวนรถบรรทุกติดเครื่องกระจายเสียง ซึ่งเป็นของลูกเสือชาวบ้านในเขตจังหวัดลพบุรี วิ่งตระเวนไปทั่วเมืองออกอากาศเรียกร้องให้ลูกเสือชาวบ้านทุกรุ่นไปพร้อม และชุมนุมกันที่หมู่บ้านหนองเต่า ตำบลชัยนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ลุกฮือขึ้นจับปืนต้านอิทธิพลไบคาน
ชลอได้ยินถ้อยคำกระจายเสียงทำนองว่า ในการนัดชุมที่บ้านหนองเต่าในอีก 2-3วันนี้ จะมีการอภิปรายบรรยายถึงความชั่วร้ายและพฤติการณ์อันโหดเหี้ยมของ ไบคาน ให้ลูกเสือชาวบ้านที่ไปชุมนุม
“ถ้าจะรอดยากนะคราวนี้ ไอ้หยอง……”
ชลอรำพึงในใจ เพราะไม่ใช่มีแค่ลูกเสือชาวบ้านที่รวมพลังข่มขวัญมาเฟียเชื้อสายปากีสถานแล้ว
ยังมีพลตรีเอนก บุนยถี ผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี กระซิบบอกกับชลอ ในระหว่างการต้อนรับคุณหญิงวิจิตรา พันธุ์คงชื่น ทำนองว่า ทางผู้ใหญ่ในกองทัพบกมีไฟเขียวเรื่องนี้ด้วย
“เดี๋ยวพี่จะส่งครูฝึกทหารไปฝึกอาวุธเบื้องต้นให้กับชาวบ้านตำบลชัย นารายณ์ ตามที่เขาร้องขอมา เอ็งรับรู้ไว้หน่อย ส่วนหนังสือเป็นทางการ พี่กำลังให้ ทส.ร่างหนังสือถึงนายอำเภอชัยบาดาลอยู่…”
ไม่นาน รถเบนซ์ชลอ ก็วิ่งไปถึงกองกำกับ ชลอเห็นนายตำรวจหนุ่มรุ่นน้อง ร่างสูงโปร่งยืนอัดบุหรี่อยู่ทางขึ้นบันไดกองกำกับ แต่ทันทีที่พันตำรวจตรีสำเริง เห็นรถเบนซ์ของพันตำรวจเอกชลอ นายตำรวจหนุ่มรีบทิ้งก้นบุหรี่ลงในถังทรายดับบุหรี่ พร้อมกับวิ่งไปที่รถ และเปิดประตูหน้าก้าวเท้าขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รถเบนซ์ที่มีชลอ สำเริง และจ่าแป๊ะพลขับคู่ใจ จะวิ่งมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯทันที
“พี่ลอครับ…สถานการณ์ตอนนี้ ทางกองปราบฯเพิ่งส่งพันตำรวจโทสุนนท์ สุวงศ์ รองผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม มาพบผมที่โรงพัก บอกว่า มาประสานงานขอข้อมูล และหมายจับนายสมชาย เพื่อช่วยในการติดตามจับกุมไอ้หยอง ผมเลยเอาข้อมูลเบื้องต้นให้ไปแล้ว……..”
พันตำรวจตรีสำเริงรายงานรุ่นพี่นายตำรวจที่เป็นผู้บังคับบัญชาที่นั่งอยู่เบาะหลัง
ชลอรู้อยู่แล้วว่า พันตำรวจโทสุนนท์ เคยเป็นผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอชัยบาดาลเมื่อช่วงปีพุทธศักราช 2508-2514 จึงรู้จักภูมิประเทศ และปัญหาในพื้นที่นี้ดี
อีกทั้งฝีไม้ลายมือยังเคยเป็นเจ้าของคดีฆ่า อ.ส.8 ศพ ซึ่งเคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อหลายปีมาแล้ว
ชลอยังนั่งนิ่งฟังนายตำรวจรุ่นน้องรายงานต่อ
“ ยังมีพยานอีกปากครับพี่ เป็นคนขับรถไถในไร่ไบคาน พยานปากนี้บอกว่า เมื่อช่วงปี 16 พยานถูกนายสมชายตามตัวให้ไปขับรถไถขุดหลุมฝังศพ “นายสุก” มือปืนประจำตัวของไอ้หยอง ไอ้นี่มันมีฉายา สุก หัวเขียง…..”
“พยานปากนี้บอกว่า ไอ้สุกมันนอนตายอยู่ที่เขาโกรกฟ้า มีแผลถูกยิงที่หัว และหลัง เข้าใจว่าถูกไอ้หยองสั่งลูกน้องยิงปิดปาก มันบอกว่าพร้อมจะพาไปดูจุดฝังศพได้ทุกเมื่อ….”
“ดีมาก…”
นายตำรวจหนุ่มรุ่นพี่กล่าวชมเชย
“ส่วนเมื่อตอนเช้ามืด ผมนำกำลังเข้าค้นในฟาร์มไบคาน เพราะมีอดีตคนงานในฟาร์ม มาเล่าให้ฟังเคยเห็นนายสมชายกับสมุนขุดอุโมงค์เอาไว้สะสมอาวุธสงครามจำนวนมาก ประมาณเอ็ม 16 ปืนอาก้า และไม่รู้จักชื่ออีกหลายชนิด……”
“แล้วเจอหรือเปล่า….”
ผู้กำกับหัวหน้าตำรวจเมืองละโว้ซัก
“ไม่เจอครับพี่ ถึงแม้พยานคนนี้มันจะเล่าค่อนข้างน่าเชื่อถือ แต่อาจเป็นเพราะเนื้อที่ที่มันกว้างขวางใหญ่โต เลยทำให้การค้นหายากหน่อย……”
“ลองดูต่อ เผื่อจะเป็นความจริงอย่างที่พยานเล่ามาก็ได้……”
ชลอเอ่ยให้กำลังใจรุ่นน้อง ก่อนผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อย แต่ปืน 11 มิลลิเมตรที่เปรียบเหมือนเขี้ยวเล็บกระบอกใหม่ที่ชายหนุ่มเอามาสลับใช้กับ ลูกโม่.357 ลำกล้อง 6 นิ้ว เพราะมันบรรจุกระสุนได้มากกว่าวางนิ่งสงบอยู่ข้างมือพร้อมใช้
ส่วนสำเริงนายตำรวจรุ่นน้อง ปล่อยให้รุ่นพี่รั้วสามพรานได้พักผ่อนไปในตัว ส่วนสายตาเขามองออกไปนอกกระจกรถ และนั่งคุยสัพเพเหระไปกับจ่าแป๊ะคนขับรถ