ตำนานมือปราบพระกาฬ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์
ชลอให้ลูกน้องส่วนหนึ่ง ไปเก็บข้าวของเช็กเอาท์ออกจากที่พักโรงแรมพรพิงค์ และให้กำลังที่เหลือทั้งตำรวจและสายโจรอย่างไอ้เหน่ รวมทั้งลูกน้องใหม่ จ๋อง ตาเดียว อยู่ควบคุมผู้ต้องหาทีมฆ่าเสี่ยปุ้ยทั้ง 4คน กับเขาที่เซฟเฮ้าส์ชั่วคราวริมแม่น้ำแม่ทา เตรียมนำตัวเข้ากรุงเทพให้ผู้บังคับบัญชาแถลงผลงานที่กรมตำรวจ
เมื่อเห็นรองผู้การกองปราบฯหัวหน้าชุด มีท่าทีสบายอกสบายใจ นั่งสูบบุหรี่ชมวิวอยู่ริมระเบียงบ้านพักกึ่งรีสอร์ตของ เสี่ยเภา เศรษฐีปากน้ำ ลูกพี่นักเลงเมืองเพชร ที่เอามาทำเป็นเซฟเฮ้าส์ชั่วคราว ผู้กองคก เดินเข้าไปหาผู้บังคับบัญชารุ่นพี่ลูกหนำเลี๊ยบ
“ว่าไง คก ……”
รุ่นพี่รักบี้สโมสรตำรวจ ตำแหน่งสกรัมฮาล์ฟ หมายเลข 9 เอ่ยปากทักเมื่อเห็นผู้กองคก รุ่นน้องอดีตนักกีฬาปีกนักรักบี้จากสโมสรเดียวกัน เดินเข้ามา
“มีเรื่องปรึกษาหารือพี่น่ะครับ……”
“เรื่องไอ้อู๊ด เพื่อนมึงน่ะหรือ…….”
“ครับพี่………”
“กูน่ะไม่มีอะไร นายสั่งมาให้คลี่คลาย จบแล้วก็จบ ดูอย่างไอ้ฟ้าคราม เดี๋ยวกูก็ต้องหาทางช่วยเหลือ ฐานที่มันช่วยงานกู อีกอย่างไอ้ปุ้ยมันก็ร้าย จะไปยิงเขาก่อน วงการนี้มันใครดีใครอยู่ กูไม่ได้เอาถึงตาย มีทางออกให้มันหลายทาง
เพียงแต่ไอ้อู๊ด เพื่อนมึงมันโชคดีไปด้วยเท่านั้น แต่ก็ต้องเหนื่อยหน่อยไปแก้ตัวในชั้นศาล หลักฐานแค่นี้ มึงก็รู้อยู่ว่า ส่วนของผู้จ้างวาน ถ้าถึงศาลเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่ก็ยกฟ้อง…….”
นายตำรวจรุ่นพี่เปิดโอกาสให้รุ่น้องที่จะมาช่วยเปิดทางให้เพื่อนร่วมสถาบัน ที่เป็นคู่กรณีกับคนตายแบบเปิดอกสไตล์นักกีฬา จบก็คือจบ เกมก็คือเกม
“ต้องขอบคุณพี่ครับ เพราะยังไงมันก็เพื่อนผม เผื่อได้ใช้มันในโอกาสข้างหน้า……..”
“ แต่มึงก็ต้องปรามมัน คุมมันให้ได้ อย่าเหิมเกริมให้มาก อย่านึกว่าพ่อมันใหญ่ รู้จักคนใหญ่คนโตเยอะ ระวังไว้แล้วกัน บอกมันอย่าห่ามให้มันมากนัก จะมีเรื่องเอิกเกริกแบบนี้ไม่ได้อีก…..”
ชลอออกปากสั่งน้อง
“เดี๋ยวคืนนี้ ผมจะเอาตัวมันมาขอบคุณพี่ครับ …..”
ผู้กองร่างใหญ่ นายตำรวจนักกีฬาหลายประเภท ฉวยโอกาสเมื่อรุ่นพี่เปิดช่อง
“ งั้นมึงเอาเข้ามาเลย เดี๋ยวไอ้ 4 คนนี้ ให้ไอ้เบี้ยวคุมขึ้นรถยนต์เข้ากองปราบฯไปก่อน พรุ่งนี้เช้ามึงกลับเครื่องบินพร้อมกูกับไอ้จิตร…..”
“ ได้ครับพี่……”
———————————————————————
ในห้องรับรองแห่งหนึ่งกลางเมืองเชียงใหม่
ชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวขาว หน้าตาบ่งบอกถึงความถือดี มั่นใจในตัวเองสูง นั่งฮึดฮัดแสดงท่าทางยโสโอหัง ไม่สบอารมณ์เมื่ออยู่หน้า ชลอ สารวัตรใหญ่โรงพักจุน และผู้กองคก เพื่อนโรงเรียนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประสาน
“ กูเข้าใจ ไอ้ปุ้ยมันจะยิงมึงก่อน เป็นกูกูก็ต้องยิงก่อนเหมือนกัน แต่มึงต้องคุยดีๆ อย่ามาทำเป็นนักเลง มึงก็รู้ กูเป็นใคร ลูกน้องมึงทั้งน้ันที่ถูกจับ มึงลองคิด หลักฐานขนาดนี้จะติดคุกกี่ปี ……”
ชลอใช้จิตวิทยาเล่นกับพ่อเลี้ยงหนุ่มคนดังเชียงใหม่ ผู้อยู่เบื้องหลังจ้างวานฆ่าเสี่ยปุ้ย อย่างแรกเพื่อดูอาการ โดยใช้กฏนักเลง กฏแห่งการอยู่รอด เป็นตัวช่วย
เป็นเรื่องธรรมดาในยุทธจักรนักเลงเมือไทย ใครขัดแย้งกัน มันก็ใครดีใครอยู่ และเรื่องที่มันตัดสินกันเองถึงขั้นใช้อาวุธฆ่า ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับชาวบ้านที่ทำมาหากินกันสุจริต หรือมีผลกระทบกับสังคมในวงกว้าง
“ ถ้าจะจับผม ก็ต้องจับไอ้คกด้วย ไอ้สูน เพื่อนมันเคยขึ้นมารับปากจะยิงไอ้ปุ้ยให้ผม…..”
พ่อเลี้ยงหนุ่มพูดโบ้ยส่งมายังผู้กองคก เพื่อนร่วมรุ่นรั้วโรงเรียนดังที่มีรักบี้เป็นกีฬาประจำโรงเรียนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อ้าวไอ้เหี้ย โยนให้กูแล้วมึง ไอ้สูนมันเพื่อนกูจริง แต่มันขึ้นมารับงานมึงยิงคน แล้วเรื่องแบบนี้มันจะบอกให้กูรับรู้ด้วยเหรอ แล้วสุดท้าย มันก็ไม่ได้ทำ
อีกอย่างพี่ลอกำลังหาทางช่วยมึงอยู่ ยังทำปากดีอีก เดี๋ยวกูก็ปล่อยตามยถากรรมหรอก…..”
ผู้กองคกหันไปด่าเพื่อนอดีตนักเรียนวัยเยาว์ ขณะที่รองผู้การกองปราบฯหนุ่มยิ้มอยู่ในใจ ถึงพ่อเลี้ยงหนุ่มคนนี้จะโผงผางเอาเรื่อง ตามประสาคนมีพ่อใหญ่ แต่สุดท้ายมันก็ติดบ่วงเข้าทางอย่างที่เขาคาดไว้
“แล้วจะให้ผมทำยังไง………”
โทนเสียงพ่อเลี้ยงหนุ่มตัวดังเชียงใหม่อ่อนลง เมื่อการพูดคุยอยู่ในช่วงท้ายๆ
——————————————————————–
เช้าวันรุ่งขึ้น ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ หรือสนามบินดอนเมือง พันตำรวจเอกชลอ ในชุดซาฟารีทั้งชุด สวมหมวกฮันติ้งแคปตามสไตล์ เดินก้าวฉับๆออกมาจากช่องทางผู้โดยสารขาเข้า พร้อมกับพันตำรวจโทพิจิตร อิ่มสงวน สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอจุน เพื่อนร่วมร่นที่เรียนด้วยกันมาในรั้วสามพราน ที่เขาขอรองอธิบดีกรมตำรวจเข้ามาช่วยคลี่คลายจนพิชิตคดีนี้ และร้อยตำรวจเอกเจตนากร นภีตะภัฐ หัวหน้าชุดสืบสวนนักบู๊ประจำทีม
พ้นประตูไม่เท่าไหร่ ชลอเห็นกลุ่มนักข่าววิ่งกรูกันเข้ามาหา นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้พร้อมคิดในใจ เหยี่ยวข่าวพวกนี้จมูกไวจริงๆ เขาเชื่อแน่นอนว่า จุดประสงค์ที่พวกนักข่าวมาดักรอ เพราะรู้ข่าวการจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้จากผู้บังคับบัญชาของเขา อีกทั้งได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าบนเครื่องบิน ที่มีการรายงานข่าวแฉเบื้องหลังจับ 4 ทีมฆ่าเสี่ยปุ้ย โดยรายละเอียดเนื้อข่าวก็คล้ายๆกับที่เขารายงานผู้บังคับบัญชาเขาไปเมื่อวานนี้เอง
หลังหยุดยืนทักทายกระจิบข่าวกระจอกข่าว และทราบเหตุผลที่มาดักรอสัมภาษณ์ ซึ่งไม่ผิดไปจากที่เขาคาดไว้ ชลอตอบรับคำถามว่า ได้จับทีมสังหารแล้ว 4 คน แต่ปืนของกลางยังไม่ได้ เพราะคนร้ายโยนทิ้งที่คลองชลประทาน โดยประสานให้ตำรวจกองเมืองเชียงใหม่ช่วยดำเนินการ
“ สาเหตุการสังหารที่สอบสวนเบื้องต้น มือปืนทั้ง 4 คน อ้างว่าไม่ได้เกิดจากการจ้างวาน ทำไปเพราะความจงรักภักดี เพราะเสี่ยปุ้ยไปมีเรื่องมีราวกับพ่อเลี้ยงอู๊ด เจ้าของบาร์ฮันนี่ไนท์คลับ เจ้านายที่จับกุมมือปืนได้ในครั้งนี้
แต่เราก็ไม่ได้เชื่อคำให้การของผู้ต้องหากลุ่มนี้ทั้งหมด ส่วนจะมีผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ยืนยันว่ามีอีก แต่ขอให้เสร็จจากการแถลงข่าวก่อน แค่นี้ก่อนนะน้อง เดี๋ยวเจอกันที่กรมตำรวจ……”
นายตำรวจหนุ่มมือปราบให้ข้อมูลเท่านี้ ก่อนที่บอกให้บรรดานักข่าวที่คุ้นหน้าคุ้นตา ไปรอทำข่าวที่กรมตำรวจ เพราะจะนำตัว 4 ผู้ต้องหาเข้าพบพลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ โดยจะเปิดแถลงข่าวความคืบหน้าในคดีนี้ที่นั่นในช่วงเที่ยง
——————————————————————————–
ที่ห้องแถลงข่าว ติดห้องทำงานพลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมณ์ อธิบดีกรมตำรวจ
ยิ่งใกล้เที่ยง ยิ่งใกล้การเปิดแถลงข่าวก็ยิ่งคึกคัก เมื่อบรรดาเหยี่ยวข่าวทั้งประจำกรมตำรวจ และรถข่าวตระเวน ทั้งหนังสือพิมพ์และทีวี รวมทั้งตำรวจน้อยใหญ่เริ่มหนาตาขึ้น
ยิ่งตอนที่พันตำรวจเอกชลอ พร้อมทีมงาน และคอมมานโดกองปราบปราม ในชุดฟาติก เครื่องแบบสนามสีเขียว สะพายปืนอูซี่คุม 4 ผู้ต้องหา ประกอบด้วยไอ้อ๊อด สิทธิพร ไอ้เต่า สุชาติ ไอ้ติ๋ง สำเนา และจ่านุ ทหารค่ายกาวิละ เชียงใหม่ เดินเข้ามาในห้องแถลงข่าว แสงไฟแฟลชจากกล้องถ่ายรูปช่างภาพนับสิบๆกล้อง ระดมสาดวูบวาบส่องมาที่ไฮไลต์ของงานอย่างไม่ขาดระยะ
ขณะเดียวกัน นักข่าวก็ได้รับใบแถลงข่าวการจับกุมจากทีมงานจับกุม ในใบแถลงระบุว่า
“คดีฆ่านายณรงค์ โพธ์พูลสวัสดิ์ หรือเสี่ยปุ้ย กรมตำรวจมอบให้พลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ มีพลตำรวจตรีเผด็จ วรบุตร ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 7 พันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ รองผู้บังคับการกองปราบปราม พันตำรวจเอกสุพรรณ ปองทอง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 7 พันตำรวจเอกเกษม ศุขพงษ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เป็นคณะสืบสวนสอบสวน
จากการสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหารวม 4 คน คือนายสุทธิพร หรืออ๊อด อินทรัตน์ นายสำเนาว์ หรือติ่ง คงคุ้ม นายสุชาติ หรือเต่า จิรขวัญฉาย และจ่าสิบเอก พิษณุ ดุษฎีพันธ์ุ
ของกลางที่ตำรวจยึดได้คือรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ยามาฮ่า สีฟ้า หมายเลขทะเบียน 4ทค-0324 และรถยนต์ ยี่ห้อ ซูบารุ ทะเบียนเชียงใหม่ ก-5183 ของจ่าสิบเอกพิษณุ ส่วนปืนของกลาง นายสุชาติที่ทำหน้าที่ขี่รถจักรยานยนต์ให้มือปืนรับสารภาพว่า ได้นำไปทิ้งที่คลองชลประทาน ใกล้ลัดดาแลนด์ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจค้นหาอยู่……….”
ใบแถลงผลจับกุมระบุอีกว่า ในการสอบสวนขั้นต้นนี้ ผู้ต้องหารับสารภาพว่า มือปืนที่ยิงนายณรงค์ คือ นายตุ่ม ไม่ทราบนามสกุล ได้หลบหนีไปแล้ว ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมได้
ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ได้แบ่งแยกหน้าที่กันทำ นายสุชาติเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์รับตัวมือปืนมายังห้องอาหารหงส์หยก ที่เกิดเหตุ นายสำเนาว์ เป็นคนขับรถซูบารุ คุ้มกันมือปืน และจ่าสิบเอกพิษณุ นั่งคุ้มกันมือปืนอยู่ในรถด้วย
สำหรับตัวนายสุทธิพร ขับรถกาแลนท์ ซิกม่า มาเปลี่ยนรับตัวนายสุชาติให้หลบหนีไปอีกต่อหนึ่ง
สาเหตุของการฆ่ากันครั้งนี้ มาจากการขัดแย้งผลประโยชน์ทางการค้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อสืบสาวไปยังผู้จ้างวานต่อไป
หลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว บรรดานักข่าวหันเครื่องบันทึกเทปหันไมค์จ่อปากพลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมณ์ อธิบดีกรมตำรวจ ตามประเพณีปฏิบัติ มีพลตำรวจโทณรงค์ รองอธิบดีฝ่ายป้องกันและปราบปราม พันตำรวจเอกชลอ และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องยืนอยู่เคียงข้าง
“ผมรู้สึกดีใจมาก การที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ แสดงว่าตำรวจทำงานกันอย่างจริงจัง ส่วนมือปืนที่ยังหลบหนีอยู่ ตำรวจรู้ตัวแล้ว อยู่ระหว่างการจับกุม….”
พลตำรวจเอกสุรพลกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ต่อจากนั้น บรรดากลุ่มนักข่าวก็เปลี่ยนทิศหันมาสัมภาษณ์ชลอ ในฐานะหัวหน้าชุดจับกุมถึงเรื่องของการจ้างวาน เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชาพยักหน้าอนุญาต นายตำรวจหนุ่มยืดอกเล่าให้ฟังเหมือนๆกับที่รายงานผู้บังคับบัญชาไปก่อนหน้า
“จากการสอบสวนกลุ่มมือปืน การทำงานครั้งนี้เป็นงานกฐิน หมายความว่าทำงานให้ฟรีๆ ไม่เอาเงิน เนื่องจากผู้ตายเป็นศัตรูทางด้านการค้ากับเจ้านายของมือปืนทั้งหมด
เจ้านายรายนี้เป็นผู้มีบุญคุณกับกลุ่มมือสังหารมาก ในส่วนของไอ้ตุ่ม มือปืน ผมคาดว่าคงจะได้ตัวในไม่ช้า หากว่ามันไม่ถูกคนจ้างเก็บตายเสียก่อน………..”
ท่ามกลางความสนใจของเหยี่ยวข่าวอาชญากรรม รองผู้การกองปราบฯกล่าวกับสื่อมวลชนที่รุมล้อมต่อว่า
“นอกเหนือจาก 4 ผู้ต้องหาที่จับกุมได้แล้ว ยังมีผู้ต้องหาอีก 5 คน ที่เพ่ิงออกหมายจับคือ นายตุ่ม ประตูน้ำ มือปืน นายป้อม ไม่ทราบนามสกุล นายปรีชา เมืองบุญ และเจ้าฟ้าคราม ผู้จัดการฮันนี่ไนต์คลับ เพราะมีความเกี่ยวข้องในคดีนี้….”
“มีแค่ 4 คนเองครับ…….”
1 ในนักข่าวที่อยู่ตรงนั้น ทวนชื่อนับ
“ อ้อ…อีกคนเป็นคนที่อยู่เหนือ ฟ้าครามขึ้นไป…….”
ชลอตอบยิ้มๆ
“ ใช่พ่อเลี้ยงอู๊ดหรือเปล่าครับ…….”
นักข่าวหนุ่มอีกคนแย็ปชื่อเป้าหมายตรงตัว
“ มันน่าจะใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้…..”
นายตำรวจหนุ่มตอบเล่นคำชวนหัวก่อนพูดต่อ
“ แล้วตำรวจเชียงใหม่ เขาก็มีฝืมือ ผมเชื่อว่าจะสามารถติดตามจับกุมคนร้ายที่เหลือได้อย่างแน่นอน…”
พูดเสร็จพันตำรวจเอกชลอ ขอตัวจบการให้ข้อมูลเพียงแค่นี้ โดยอ้างว่า ต้องพาลูกน้องวางแผนเตรียมการนำผู้ต้องหาทั้ง 4 คน เดินทางกลับขึ้นไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่เชียงใหม่ รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ต้องหา พร้อมทั้งจัดชุดสืบสวนเร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือ โดยเฉพาะมือปืน “ตุ่ม ประตูน้ำ”
——————————————————————————–
หลังจบการแถลงข่าวใหญ่ หมวดหนุ่ย อภินันท์ เกตุษเฐียร และหมวดป๊อก โรจนะ สมุนไพร 2 นายตำรวจโควต้านักฟุตบอล เดินมากระซิบชลอ ขณะเดินออกจากห้องทำงาน พลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปรามว่า ภารกิจที่สั่งให้ไปเอาตัว ไอ้ตู่ ปรานี สิบโททหาร ที่เดินทำตัวเป็นเจ้าพ่อมาดติงลี่ หลังปากไม่ดี เที่ยวคุยว่าเป็นคนติดต่อมือปืนมายิงเสี่ยปุ้ย ขณะนี้ควบคุมตัวไว้ได้แล้ว
“ อยู่ที่ไหนวะ……..”
รองผู้บังคับการกองปราบปรามซักกลับ ด้วยเสียงกระซิบ