ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์
คำตอบที่ได้รับเป็นอย่างที่เขาคิด
“ ครับนาย ไอ้หน้าผี สังข์ทอง สีใส….”
สมาน ทิมแตง หรือพร พนาไพร พี่ชายแท้ๆของสมทรง น้องชายที่มาถูกยิงตายแทนเพราะหน้าตาเหมือนกัน กล่าวตอบนายตำรวจหนุ่มเสียงเบากลัวจะมีคนได้ยิน
พฤติกรรมของ พร พนาไพร ศิษย์รัก สุรพล สมบัติเจริญ นั่นไม่ได้ทำให้ชลอแปลกใจ เพราะส่อให้เห็นถึงความกลัวอิทธิพลของนักร้องนักเลงหน้าผีคนนี้ไม่น้อย
เหตุเพราะข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ โดยเฉพาะตอนที่สังข์ทอง ออกจากคุกหลังต้องคดีพยายามฆ่าคนตาย ถึงขนาดมีนักการเมืองคนหนึ่งที่เคยติดคุกคดีการเมือง และเคยอยู่ในเรือนจำเดียวกันส่งรถเก๋งมาสด้าป้ายแดง มารับในวันที่นักร้องหน้าผีได้รับอิสรภาพเป็นข่าวเอิกเกริก
ขณะที่ สังข์ทอง ในวันนั้น ก็ไม่เบา เปิดตัวด้วยชุดสูทสีน้ำเงินราคา 2,500 บาท รองเท้าหนังสีขาว คู่ละ 900 บาท เตะตาที่สุดนั่นก็คือหนวดเรียวบางที่ริมฝีปาก
นักร้องหนุ่ม อดีตนักโทษชาย หมายเลขประจำตัว 14/2520 อ้างกับนักข่าวที่มารอทำข่าวถึงประตูเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หรือที่เรียกติดปากว่า คุกลาดยาว ว่า นิรมล เฉลิมเกียรติสกุล แฟนสาวขวัญใจคนใหม่ของเขา เป็นคนบอกให้ไว้ เพราะจะได้หล่อและสมาร์ทเหมือน ติงลี่ เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
“เอาอย่างนี้ กูจะบอกวิธีให้ เดี๋ยวมึงไปรวบรวมหลักฐานทางคดีทั้งหมดไปร้องกับผู้การกุศล ที่กองปราบฯ เดี๋ยวกูจะเข้าไปคุยกับพี่เขาเอง………”
นายตำรวจหนุ่มผู้มากบารมีบอกวิธีให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นพรรคพวกของจ๋อง ตาเดียว ไปร้องเรียนกับพลตำรวจตรีกุศล นาคศรีชุ่ม ผู้บังคับการกองปราบปราม เพื่อเป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ก่อน
เขาตัดสินใจต้องใช้ไม้แข็งจัดการกับนักร้องนักเลงหน้าผี เพราะหลังออกจากคุกมา พฤติกรรมของสังข์ทองดุเดือดเลือดพล่าน คราวนี้มีข่าวถึงขั้นไล่ฆ่าแกงคนอย่างเหี้ยมโหด ส่วนหนึ่งชลอคิดว่า มาจากการที่ผ่านคุกผ่านตารางมาหลายปี ชีวิตรุ่งๆก็ผ่านมาแล้ว ค่นแค้นลำบากถึงขนาดเข้าไปอยู่ในคุกก็เคยมาแล้วเช่นกัน
อีกอย่าง เวลาไปเจอกันในงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ เขาก็เคยเตือนมันให้เพลาๆพฤติกรรมห่ามๆที่ว่าลงบ้าง โดยเฉพาะการทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการลูกทุ่ง เพราะกลัวจะย้อนกลับเข้าตารางอีกหน
พอพูดเตือน สังข์ทองก็เข้ามาเกาะเข่าเกาะขาชลอ ใช้เสียงขึ้นจมูกเป็นเสียงเสน่ห์แก้ตัวพร้อมทำหน้าทะเล้นชวนให้คู่สนทนาหัวเราะซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวว่า สังข์ทอง ไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่นายได้ยินมาสักหน่อย
สำหรับเรื่องเฉี่ยวคุกเฉี่ยวตารางของสังข์ทอง นักร้องคนดัง ไม่ได้มีแค่คดีนี้คดีเดียว ชลอยังได้ยินมีคดีพัวพันกับการเสียชีวิตของสุริยัน ส่องแสง นักร้องลูกท่งเจ้าของเพลง “วันนี้สวยกว่าเมื่อวาน”ที่ยังจับกุมมือปืนที่รู้จากสายข่าวชื่อ “ไอ้ปานดำ”ไม่ได้
ส่วนสาเหตุยิงนักร้องหนุ่มคนชัยนาท เท่าที่ชลอรู้ เกิดจากการประชันวงดนตรีลูกทุ่งอีกวงหนึ่งในงานสงกรานต์ที่ผ่านมา ดุเดือดถึงขั้นลูกวงทั้ง 2 วง ตะลุมบอนจนมีเหตุยิงกันกลางงาน เป็นธรรมดาของการแข่งขันในวงการนี้ และคู่กรณีของสุริยัน ก็มีความสนิทสนมกับสังข์ทอง ที่กำลังทำตัวเป็นผู้กว้างขวางอยู่ในขณะนี้
สำหรับ สังข์ทอง สีใส ที่ใครๆชอบตั้งฉายาว่านักร้องหน้าผี นายตำรวจมือปราบรู้ประวัติจากบรรดานักร้องลูกทุ่งด้วยกันมาก่อนประกอบกับได้อ่านข่าวช่วงที่ถูกจับในคดีที่ถูกกล่าวหาไปยิงแฟนเพลงตายว่า พื้นเพเป็นชาวตำบลจรเข้สามพัน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อเดิม เปี๊ยก ศรีเหรา อายุอานามห่างจากเขา 10 ปี เพราะสังข์ทองเกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2491
ประวัติและวีรกรรมของนักร้องหนุ่มที่ได้ชื่อเป็นเทพบุตรหน้าผี ชลอได้รับการถ่ายทอดบอกเล่ามาตลอด ไม่ว่าจะขณะสนทนากับพรรคพวกในสถานที่ต่างๆ หรือได้อ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์ สรุปแล้ว นักร้องลูกทุ่งผู้นี้ มีชีวิตที่โลดโผนโจนทะยานเกินตัว
เริ่มจากลักษณะร่างกาย สังข์ทอง เป็นโรคชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Ectodermal dysplasia anhidrotic
ลักษณะอาการสำคัญคือ หน้าตาจะไม่ค่อยน่ามอง หน้าซูบติดกะโหลก ออกไปทางเด็กพิเศษ ขนต่างๆของร่างกาย รวมทั้งฟัน จะหลุดร่วงเร็วผิดปกติ
การที่ร่างกายไม่มีรูขุมขน ทำให้ไม่มีเหงื่อ ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ จึงมักจะทำงานหนักๆไม่ค่อยได้
ชลอคิดเองว่า ด้วยสาเหตุนี้ น่าจะมีส่วนทำให้นักเลงเพลงคนสุพรรณคนนี้เป็นคนขี้โมโหหงุดหงิดง่าย
แต่ด้วยความขี้เล่น รักสนุกสนาน และเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็ก สังข์ทอง ก้าวเข้าสู่วงการมายาด้วยการเป็นโฆษก ตลก และร้องเพลงขายของตามงานวัด เพลงที่เขาชอบร้องเป็นเพลงของชาย เมืองสิงห์ ถึงขั้นร้องได้หมดทุกเพลง
จากนั้นไปสมัครอยู่วงดนตรีจุฬารัตน์ ของครูมงคล อมาตยกุล จนมีโอกาสได้ร่วมงาน กับชาย เมืองสิงห์ นักร้องต้นแบบที่เขาชื่นชอบ ขณะที่ครูมงคลตั้งชื่อให้เขาว่าสังข์ทอง เหตุเพราะว่ามีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เหมือนเจ้าเงาะป่าในละครสังข์ทอง
ด้วยน้ำเสียงแหบ เสน่ห์ อันเป็นเอกลักษณ์ และเลือดความเป็นนักสู้ ในปีพุทธศักราช 2506 หรืออายุแค่ 15 ปี สังข์ทองได้มีโอกาสบันทึกเสียงเพลงแรก คือเพลง “อกอุ่น” จนเริ่มมีชื่อเสียง ก่อนที่จะมามีเพลงดังในเวลาต่อมา คือ “นิ้งหน่อง” ที่แต่งโดย สุชาติ เทียนทอง
“นิ้งหน่อง นิ้งหน่อง นวลน้อง นั้นมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่ทักไม่ทาย หรือจำไม่ได้ ฉันชื่อนิ้งหน่อง
โอ้โฮสวยงามสง่า หน้าตาขำคมทุกสิ่ง เข้าไปทักเธอจ๋าสวยจริง เลยแม่ยอดหญิงทำงอนตุ๊บป่อง…..”
เกร็ดเล็กน้อยที่ชลอรู้มาจากการอ่านหนังสือหรือมีใครเล่าให้ฟังเขาก็จำไม่ได้ เพลงนี้ สุชาติ เทียนทอง คนแต่งต้องการที่จะให้ชาย เมืองสิงห์ เป็นคนร้อง แต่ถูกฏิเสธเพราะชาย เมืองสิงห์ เห็นว่าเป็นเพลงตลก กลัวจะเสียภาพพจน์
แต่เนื้อร้องและทำนองสนุกสนาน นั่นกลับกลายเป็นเพลงที่ทำให้สังข์ทองโด่งดัง ถึงขั้นลาออกจากวงจุฬารัตน์ เพื่อออกมาตั้งวงดนตรีเป็นของตัวเอง
ปีพุทธศักราช 2513 สังข์ทอง ก้าวข้ามมาอีกขั้น ด้วยการร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง “โทน” ของเปี๊ยก โปสเตอร์ ที่นำแสดงโดยดารานักแสดงชื่อดัง อาทิ ไชยา สุริยัน อรัญญา นามวงศ์ สายัณห์ จันทรวิบูลย์ และจารุวรรณ ปัญโญภาส
ที่สำคัญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ สังข์ทองได้ร้องเพลง “โทน” เพลงนำภาพยนตร์ ที่แต่งโดย สุชาติ เทียนทอง อีกครั้ง และทำให้สังข์ทองโด่งดังมากยิ่งขึ้น ได้แสดงภาพยนตร์ต่อมาอีกหลายเรื่อง ขณะที่งานเพลง เขาก็ผลิตผลงานเพลงดัง ทั้งแต่งเองเขียนเองออกมามากมาย
แต่อย่างที่ชลอรู้ สังข์ทองเป็นคน 2 บุคลิก ด้านหนึ่งเป็นคนอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ สนุกสนาน ทำอะไรก็ตาม มีคนรักคนหลง
ที่น่าแปลกอีกด้านหนึ่ง นักร้องหน้าผีทะเล้นกลับเป็นคนโผงผาง เป็นคนใจนักเลง ไม่ยอมคน และด้วยการแข่งขันระหว่างวงดนตรีลูกทุ่งด้วยกันเอง สังข์ทองชอบพกปืน 11 มิลลิเมตรติดตัวตลอดเวลาออกเดินสายด้วย
จนในที่สุด วันที่ 28 มกราคม 2518 สังข์ทอง ต้องคดีพยายามฆ่าคนตายที่จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากไปยิงแฟนเพลงที่มาแซวหน้าเวทีจนบาดเจ็บสาหัส
เหตุยิงแฟนเพลง นายตำรวจมือปราบรู้จากหลายปากตรงกัน เรื่องของเรื่องเป็นเพราะรถของสังข์ทองเสีย ทำให้งานแสดงที่รับไว้ที่บ้านเพชร อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ต้องเปิดการแสดงช้ากว่ากำหนด
ทันทีที่สังข์ทองขึ้นเวที ก็ถูกแฟนเพลงโห่ไล่ ขว้างปาสิ่งของใส่ ตะโกนด่าทอไอ้นักร้องหน้าผี และความอัปลักษณ์ในร่างกายสังข์ทองอันเป็นปมเด่น จนสังข์ทอง ต้องเดินลงจากเวที พร้อมๆกับมีเสียงปืนดังขึ้น มีพยานระบุว่าเป็นฝีมือสังข์ทอง
สุดท้าย คดีถูกโอนมาที่กรุงเทพฯ ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะตัดสินจำคุกเขา 12 ปี
——————————————————————————–
ในความโชคร้าย แต่เหมือนสังข์ทอง จะยังมีโชคดีอยู่บ้าง
ระหว่างอยู่ในเรือนจำ สังข์ทอง ได้พบกับ “ ไข่มุกดำ “ วีระ มุสิกพงษ์ ที่ถูกจับในคดีกบฏ 26 มีนาคม 2520
วีระ นักการเมืองหนุ่ม เข้าร่วมกับพล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ พยายามจะโค่นล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่ไม่สำเร็จ
ไข่มุกดำ นักการเมืองดังถูกย้ายจากคุกโรงเรียนพลตำรวจบางเขน มาอยู่ที่เรือนจำคลองเปรม ก่อนทั้งสองก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงขั้นที่นายวีระ เขียนหนังสือถึงสังข์ทองขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ เป็นเรื่องราวยาวเฟื้อย
ต่อมานายวีระได้รับอิสรภาพออกจากคุกมาก่อน และในปีพุทธศักราช 2524 ได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ไม่แปลกที่ สังข์ทอง จะได้รับอิสรภาพในปี 2524 เพราะมีเพื่อนเป็นรัฐมนตรี ช่วยเดินเรื่องขอรับพระราชทานอภัยโทษให้จนกระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้เหลือโทษจำคุกเพียง 4 ปี 7 เดือน
จากโทษจำคุก 12 ปี เมื่อวันที่ 3ธันวาคม พุทธศักราช 2519 สังข์ทอง ได้ออกจากคุกในวันที่ 2 กรกฎาคม พุทธศักราช 2524
นอกจากความห้าวของมาเฟียหน้าผีที่คนในวงการลูกทุ่งรับรู้ โดยเฉพาะที่ซอยบุปผาสวรรค์ แต่กับแฟนเพลง เสียงแหบเสน่ห์ของเขากลับมาอ้อนแฟนๆอีกครั้ง จากเพลง “เสียงจากสังข์ทอง” ในรูปแบบเทปคาสเซส ในอัลบั้มชื่อชุด จดหมายคนจน จัดจำหน่ายโดยโรสซาวนด์
“จากไปเสียนานแสนนาน ลืมนักร้องที่เคยสงสารยังเล่าแฟนเพลงจ๋า นักร้องคนเก่าที่แฟนให้ความเมตตา กลับย้อนหวนคืนกลับมา สู่อาณาจักรเสียงเพลง
หลายปีนี้นานเหลือเกิน ทนรับกรรมด้วยเหตุบังเอิญ ไม่เคยจะเมินแฟนเพลง เพราะถูกจองจำ คนประนามหาว่านักเลง ทั้งที่ไม่เคยคิดเบ่ง รักแฟนเพลงยิ่งกว่าดวงใจ
สังข์ทองมาร้องขอความปราณี จากไปหลายปีคราวนี้ขอเริ่มต้นใหม่ คิดถึงครั้งก่อน เมื่อตอนได้รับมาลัย สังข์ทองชื่นอกชื่นใจ ร้องไห้ซึ้งในอุรา
ขอบคุณครับแฟนๆสังข์ทอง คิดอุ้มชูไม่เปลี่ยนเป็นสอง ไม่ลืมสังข์ทองเลยหนา ถึงชื่อจะเก่า เสียงจะแก่ ช่วยแลสักครา ขอกราบแฟนๆทั่วหน้า ช่วยเมตตาสังข์ทองอีกที…….”
ในอัลบั้มชุดเดียวกัน นอกจากจดหมายคนจน ที่เป็นเพลงเดียวกับชื่ออัลบั้ม อยู่ในเทปหน้า 1แล้ว ยังมีอีกหลายเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลง นรกสาวโรงงาน โสเภณีที่รัก คิดถึงบ้านเกิด สมใจหรือยัง สัญญาน้ำตา
แต่ในหน้าที่ 2 เพลงส่วนใหญ่ จะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับตัวสังข์ทอง เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวเขา ทั้งเศร้า ทั้งระคนน้อยใจ อย่างที่เขาถูกเพื่อนฝูง รวมทั้งผู้หญิงหลากหน้ามารุมล้อม ในยามที่เขามีชื่อเสียงเงินทอง เปรียบดุจดวงดาวทอแสงจ้า
แต่ในทางกลับกัน พวกเขาเหล่านั้นพากันหมางเมินจากเหตุที่เขาต้องคดีพยายามฆ่า ตกต่ำสุดๆ จนกลายมาเป็นเพลงที่ชื่อว่า บทเรียนสังข์ทอง
บางบทเพลงก็เป็นการแก้ต่างให้กับเขาไปในตัว ถึงเรื่องคดีความที่เกิดขึ้น อย่างเพลงที่ชื่อ
“สังข์ทองแถลงการณ์”
“ แฟนแฟนเพลง โปรดจงฟังผมร้อง หันกลับมาฟังสังข์ทอง เถิดครับพี่น้องอย่าเพ่ิงหนีหาย จากไปหลายปี แฟนแฟนน้องพี่ผมยังไม่ตาย เหตุที่ผมหนีขาดหาย โอ๊ยกลุ้มจะตาย โชคร้ายสิ้นดี
ผมไปติดคุก เพราะผมถูกกล่าวหา ในเรื่องคดีพยามฆ่า เมื่อก่อนนั้นหนาอยู่หน้าเวที เรื่องมีอยู่ว่า พวกผมไปช้าตั้งหลายนาที แต่ก็รีบกันด่วนจี๋ เมื่อถึงเวทีก็เริ่มแสดง
ผมไปถึงช้า ก็กล่าววาจากับพี่น้อง ว่ารถมันเกิดขัดข้อง ตัวผมสังข์ทองก็ได้ชี้แจงและต่อจากนั้น รายการก็คงแสดง โดยไม่ได้คิดระแวงพวกนักแสดงทั้งเต้นและร้อง
ต่อจากนั้นเวลาประมาณถูกกล่าวหา ยี่สิบสามนาฬิกา ก็ถึงเวลาของผมสังข์ทอง ออกหน้าเวทีร้องอยู่ดีดีครับท่านพี่น้อง กลุ่มหนึ่งก็เริ่มโห่ร้อง ขว้างปาสิ่งของแก้วขวดมากมาย
ไม่ทันหยุดยั้งเสียงปืนหลายปังก็ดังขึ้น แฟนแฟนพากันแตกตื่น ทั้งนั่งและยืนวิ่งกันวุ่นวาย พอเรื่องระงับตำรวจก็จับพวกผมไป แล้วตั้งข้อหาผมไว้ พยามฆ่าคนดู
วันรุ่งขึ้น ชลอตื่นมาเกือบ 10 โมงเช้า เพราะกว่าจะเข้านอนได้ก็ปาไปตี 3 กว่า
ระหว่างนั่งกินกาแฟในห้องรับแขกที่เขาทำเป็นหลุมวงกลมกลางบ้าน เขาเห็น จ๋อง ตาเดียว ลูกน้องที่เขาได้ใจมาจากคดีฆ่าเสี่ยปุ้ย อดีตน้องรัก แป๋ง เมืองเพชร ปิยะ อังกินันท์ เดินเข้ามาทักทาย
หลังจากถามไถ่เรื่องที่หลับที่นอนที่ชลอสร้างที่พักหน้าบ้านให้กับลูกน้องตำรวจและนักบอล รวมถึงความสนุกสนานเฮฮาเมื่อคืนที่ผ่านมา จ๋อง เอ่ยปากบอกข่าวถึงเรื่องที่รู้มาจากพรรคพวกในงานเมื่อคืน
“พี่ลอ เมื่อคืนพวกผมที่วิ่งแผ่นเพลงให้สุริยัน นักร้องที่ถูกยิงตาย มันมาบอกผม พ่อและแม่สุริยัน เตรียมจะเข้าร้องทุกข์ที่กองปราบฯไม่กี่วันนี้…….”
จ๋อง ตาเดียว เกริ่น
“ทำไมวะ……”
ชลอย้อนถาม