Sunday, June 8, 2025
More
    Homeท่องปทุมวัน”ผู้การบอย“กระเทาะปัญหาจราจรเมืองกรุง-ทำแผนเส้นทางรถรับภัยพิบัติ

    ”ผู้การบอย“กระเทาะปัญหาจราจรเมืองกรุง-ทำแผนเส้นทางรถรับภัยพิบัติ

    ผู้การบอย-พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม ผบก. จร. หรือที่เรียกกันว่าผู้การจราจรกลาง นามเรียกขาน จ.1

    ย้อนอดีตลูกชายอดีตทหารเรือ เห็นตำรวจตั้งแต่เด็กๆเพราะบ้านอยู่ข้างๆคอมมานโดกองปราบ โชคชัย4 จบม.6ที่สตรีวิทยา2  พ่ออยากให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน เลยให้มาสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย 

    หนุ่มน้อยไปกับเพื่อน 2 คน ในห้องที่เรียนด้วยกัน ผลติดทั้งคู่ ลูกชายทหารเรือติดนายร้อยตำรวจ รุ่น 43 ส่วนเพื่อนอีกคนไปเป็นทหารเรือ  

    จบสามพรานเป็นที่2ของรุ่น          

    ฝึกงาน สน.ลาดพร้าว ตั้งแต่อยู่ปี 2  วางแผนเตรียมตัวเป็นร้อยเวรในกรุงเทพฯ พอจบออกมาได้ที่ 2 เลือกลง สน. นางเลิ้ง ส่วนที่ 1 ของรุ่น 43  วีระเดช บัวประเสริฐยิ่ง ตอนนี้เป็นรอง ผบช.จเรฯเขาเลือกพลับพลาไชย  

    อยู่นางเลิ้งก็สะสมความรู้ ประสบการณ์ เพราะฝึกงานมานานตั้งแต่ปี 2 พอเข้าเวรได้อาทิตย์เดียว หัวหน้างานบอก  มึงเป็นงานแล้วนี่หว่า เข้าเวรเดี่ยวเลย…

    ผู้การบอยหัวเราะเมื่อเล่าความหลังตอนพ้นรั้วสามพรานใหม่ๆ

    จากนั้นไปเรียนปริญญาโทต่อที่นิด้า  ช่วงนั้นเป็น รอง สว. ต้องทำโครงการลาเรียนว่าไปเรียนวิชาอะไรมา แล้วมาใช้ในตำแหน่งหน้าที่ไหน ใช้โครงการเป็นตำแหน่งหน้าที่ รอง สว.แผนงานจราจร

    ก็ไปอยู่เป็นรอง สว.กองจราจร   ย้ายไปย้ายมากลับมาเป็น สว.อีกที เป็น สว.งาน 3 กอง 5 ตรวจมลภาวะ  รหัสนามเรียกขาน อนุรักษ์ 1 หรือ สว.ควันดำ

    โยกไปกองปราบเรียนวิชาจากยอดฝีมือ            

    อยู่ 2 ปีครึ่ง 28 เดือน โยกไปอยู่กองปราบ ปี 2545 เป็น สว. งาน 12 กองปราบ ฝ่ายอำนวยการ เลื่อนเป็น รอง ผกก. คอมมานโด กองปราบ  ขึ้นมาอยู่ กอง 3 กับพี่กุ่ย-กิตติ สะเภาทอง และ พี่อ้อ-อัคราเดช พิมลศรี แล้วไปเป็น ผกก.นพวงศ์ คุม 3 สถานีรถไฟ ที่มักกะสัน สถานีบางซื่อ  สถานีรถไฟธนบุรี หลังจากนั้น พี่แป๊ะ -จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น น.1 ให้ไปเป็น ผกก.สำเหร่ แล้วเข้า ตร. เป็น ผกก.กลุ่มงานจราจร  

    ประสบการณ์งานตจว.ที่มุกดาหาร           

    จากนั้นขึ้น รอง ผบก.มุกดาหาร  เป็นครั้งแรกในชีวิตราชการไปอยู่ต่างจังหวัด  ชีวิตคนละอย่างกับกรุงเทพฯ การทำงาน ความสัมพันธ์กับหน่วยงานข้างเคียง เป็นประสบการณ์ที่ได้ทำอะไรที่แปลกใหม่ไม่เคยทำ เช่น ไปเปิดงานสินค้าราคาถูก ไปเกี่ยวข้าวไปใส่ผ้าขาวม้า ถ่ายรูปกับรองผู้ว่าฯ  สนุกดี 

    อากาศดีมากอยู่ริมโขง พอเข้าเดือน ต.ค.นี่ ไม่ต้องเปิดแอร์ ลมจากแม่น้ำพัดพา อุณหภูมิ 23-24 องศาฯทั้งวัน สบาย ไม่มีรถติด อากาศดี เย็นก็ออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส  เอาจักรยานเสือหมอบขึ้นรถทัวร์ไปที่โน่น ไปขี่จักรยานริมโขง 

    จากนั้นกลับมาช่วยราชการ บก.น.1 ได้ 6 เดือน ไปลง รอง ผบก.น.8 ก็เป็นรองผบก. 7 ปี  ขึ้น ผบก.ตำรวจจราจร คำสั่งนี้

    ผู้การบอยเล่าถึงเส้นทางชีวิตราชการที่ผ่านมาในอดีตถึงวันที่ขึ้นเป็นนายพลหัวปิงปองเมืองกรุง

    โปรไฟล์งานจราจรเข้าตาผู้ใหญ่

    เป็น 3 ปีสุดท้ายของชีวิตราชการ  คิดว่าที่ผู้บังคับบัญชาให้มาอยู่ตรงนี้ เพราะโปรไฟล์ผมตั้งแต่รอง สว.ก็อยู่จราจรกลาง สว.ก็อยู่จราจรกลาง เป็น ผกก.ก็ทำงานด้านการจราจร ผู้บังคับบัญชาท่านเห็นก็เอาคนนี้แหละ มาลงตรงนี้ 

    รับไม่เหมือนงานตำรวจท้องที่

    งานบก.จร. เป็นงานที่ขับเคลื่อนทุกๆนาทีไม่มีหยุดนิ่ง อยู่พื้นที่ บก.น.8 มา 5 ปี ถ้าไม่มีคดีอุกฉกรรจ์ก็เงียบสงบ แต่ถ้ามี เราก็ไปรุมเพื่อให้ได้ชื่อตัวมา พอมาอยู่ตรงนี้ไม่เหมือนกัน มันมีปัจจัยที่เข้ามาสู่กระบวนการที่เราต้องขับเคลื่อนทุกนา ทีๆเลย 

    ฝนตกปุ๊บรถติด หรือฝนตกปุ๊บ รถชนบนทางด่วน อย่างนี้มันจะเข้ามาสู่เรา เป็นพลวัต เป็นไดนามิกทุกๆนาที ไม่เหมือนความนิ่งของพื้นที่ในเรื่องของอาชญากรรม 

    ดูข้อมูลทั้งวันรถราติดที่ไหน

    เป็น ผบก.จร.ต้องรับสื่อทุกด้าน แต่ก่อนเช้ามาจะดูว่ามีใครตายที่ไหน ใครยิง  เดี๋ยวนี้เช้ามาต้องดูรถติดที่ไหน มีพูดถึงการจราจรที่ไหน เพราะบางทีแม้ไม่ใช่ลูกน้องผม เป็นลูกน้องจราจรในพื้นที่  เวลามีปัญหาอะไร เราในฐานะ ผบก.จร.ต้องรับรู้ รับเห็น รับทราบ แล้วการปฏิบัติจะป้องกันยังไงไม่ให้เกิดอีกถ้าเกิดที่เราจะแก้ปัญหายังไง เป็นอะไรที่ต้องรับข้อมูลตลอดเวลา 

    งานแรกเรียกลูกน้องคุยกันทั้งบก.

    พอมาเป็น ผบก.จร. ได้ทราบมาว่า ตั้งแต่โควิดไม่เคยมีประชุมลูกน้องทั้งหมดใน บก.จร.มาหลายปี เลยเรียกมาประชุม มาเห็นหน้าเห็นตากำลังพล 1,600 กว่านาย แต่วันนั้นมีเข้าเวรมาประชุมประมาณ 1,200 คน แล้วบก.จร.มีที่ปรึกษา เหมือน กต.ตร.

    ก็เป็นโอกาสดีที่จะให้ตำรวจทั้ง 1,200 นาย  เห็นหน้าตาที่ปรึกษาด้วย เลยไปประชุมกันที่สโมสร ตำรวจ สิ่งที่ผมมอบให้ตำรวจ ง่ายๆคือ เอาคุณธรรมนำกฎหมาย แล้ววงเล็บไป ว่าอย่าปากเสียกับประชาชน 

    ขอลูกน้องอย่าปากเสียกับปชช.

    ก็มีน้องจากหนังสือพิมพ์อะไรไม่รู้ ไปทำข่าวบอกว่า ผบก. จร.กำชับว่า อย่าปากเสีย คือมีหลายเหตุการณ์ที่มีการประสานงานเพื่อจะอำนวยความสะดวกหรืออะลุ้มอล่วยอะไรต่างๆ สิ่งที่เราทำไปมันควรจะได้ดอกไม้ ไม่ควรจะได้ก้อนหิน เพราะเราอะลุ้มอล่วยอำนวยความสะดวกให้ แต่สิ่งที่ตามมาลูกน้องพูดจาไม่ดี มันควรจะเป็นอย่างนั้นเหรอ 

    ให้อดทนต่อความเจ็บใจ

    ผมบอกลูกน้องในที่ประชุม เราช่วยเขารึเปล่า ถ้าเราช่วยเขา แล้วทำไมเราไม่ได้คำชม เพราะฉะนั้นเวลาทำหน้าที่อย่าปากเสียอย่าพูดไปเรื่อย อย่าพูดไปเพราะความอึดอัด หนังสือพิมพ์ ข่าวออนไลน์ก็ไปลง ว่า ผบก.จร.กำชับอย่าปากเสีย แล้วให้อดทนต่อความเจ็บใจ เป็นว่าหลังจากวันนั้นแล้วไม่ได้รับคำอย่างนั้นมาอีกเลย เขาให้ความร่วมมือ  

    เราควบคุมสังคม-ไม่ใช่แบ่งแยกสังคม

    อย่างที่บอก ตำรวจ นอกจากจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแล้วต้องมีศิลปะในการใช้อำนาจ มีศิลปะในการเข้าหา เข้าพบถึงจะเป็นตำรวจที่ได้รับความพึงพอใจ

    อย่างถ้าเป็นเด็ก  ถ้าไม่เมามากเราก็ไม่เคร่งครัด คือนักกฎหมายจะบอกว่า ไม่ได้  คุณละเว้น แต่ผมเป็นผู้ควบคุมสังคม ผมไม่ได้เป็นคนแบ่งแยกสังคม

    ถูกไหม ถ้าคุณตัดไปเลยเขาจะขาดไปเลยนะจากสังคมราชการ เขาเข้าไม่ได้เลย แล้วสมควรไหมล่ะ ถ้าเราคิดจะทำ เหมือนถ้าเกิดเราเป็นพ่อแม่ ก็อยากร้องขอโอกาสสักครั้งหนึ่ง

    ใช้กฏหมายจากเบาไปหาหนัก

    คือกฎหมายใช้ แต่ค่อยๆเป็นขั้นตอน เราใช้แต่เรามีมาตรการจากเบาไปหาหนัก เรารู้นี่ว่า ตัวเลขตัวนี้ที่กฎหมายกำหนดมันผ่าน อย่างบางคน 60 ยังคิดเลขได้ ยังนั่งตีดัมมี่ได้เลย 60% หัวยังแล่นแต่บางคน 60  ก็นั่งคอตก

    ต้องดูสภาพประกอบด้วย ไม่ใช่ว่า จะต้องเป๊ะๆ อย่างนี้ๆ เขากลับบ้านไปบางทีเผลอๆนั่งประชุมต่อได้ด้วย คือแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน  

    ปรับให้สอดคล้องเหมาะสม

    แต่เมื่อกฎหมายเป็นอย่างนี้ หน้าที่ผู้ปฏิบัติคือปรับให้สอดคล้อง เหมาะสม จะตัดออกไปเลยก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ทีนี้จะทำยังไงให้สิ่งเหล่านี้อยู่ในดุลยภาพ

    มันต้องกำกับดูแล รอง ผบก.ต้องช่วยกัน ผบก.ต้องไปตรวจ ผกก.ต้องกำกับดูแล สว.หัวหน้าด่าน ต้องรู้ความเป็นไปของด่านทั้งหมด ไม่ใช่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วใครไปทำอะไรไม่รู้เรื่อง  อย่างนี้ไม่ใช่

    ใครมีปัญหาอะไรขึ้นมา คุณแบ่งหน้าที่กันเลย คนนี้มีหน้าที่เจรจา มีปัญหาขึ้นมา เอา สว.มาเจรจา  พ.ต.ต.หรือ พ.ต.ท. เห็นแล้ว บางทีเขาอาจจะพูดด้วย เพราะบางที จ่า หรือนายดาบ เขาไม่พูด 

    เอาตัวให้รอดในพื้นฐานกม.          

    ถามว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะมันมีแอลกอฮอล์เข้าไป เวลาที่เขาไม่มีแอลกอฮอล์ก็เป็นอีกแบบ แล้วเราก็ต้องคิดต่อไปว่า  จากนี้อีกสัก 6 ชั่วโมง รูปแบบจะเปลี่ยน  เขาจะหายเมา เราไม่รู้ว่าเขามีคอนแท็คอะไรยังไง กับใคร รูปแบบที่จะกลับมาหาเรามันจะเปลี่ยน 

    เพราะฉะนั้นตำรวจก็คือเซอร์ไวเวอร์ ต้องเอาตัวรอดอย่างเหมาะสมภายใต้พื้นฐานกฎหมาย ไม่ใช่เอาตัวรอดแบบปัดกฎหมายตกทิ้ง 

    ก็ต้องสอนตรงนี้ไว้ อย่างที่บอกมันค่อยๆ มีเสียงสะท้อนกลับมา ค่อยๆ ดีขึ้น จากเดือน ม.ค.-ก.พ.ผมเรียกประชุม ทั้งหมด เดือน มี.ค.ใช่ไหม เดือน มี.ค. ก็ไม่มีเรื่องปากเสียมาหาผมแล้ว

    จังหวะเข้มก็ต้องเข้ม

    พอ เม.ย.ต้องยิ่งเข้ม เพราะมีเทศกาลสงกรานต์ต้องบังคับใช้กฎหมายให้เข้มเพราะเราต้องการลดอุบัติเหตุ แต่ให้เข้มยังไงก็ตามเรายังให้โอกาส  ให้เขาจัดที่นั่ง แต่ก่อนมีด่านจะมีเฉพาะที่ออกบันทึกจับกุม แล้วนั่งตรวจวัด

    ตอนนี้ผมสั่งทุกด่าน  มีที่นั่งสำหรับนั่งพัก มีอะไรกั้นไม่ให้ประเจิดประเจ้อ ให้เขานั่งกินน้ำ ทุกจุดตรวจ มีน้ำแข็ง มีผ้าเย็น ให้โอกาสเขา หมือนหยิน หยาง ให้ผสมกลมกลืน ให้บาลานซ์เพราะผมเชื่อว่าจับอย่างเดียวไม่กี่วันหรอก ล้มหมด 

    ยกตัวอย่างกม.ในอดีตที่ไม่เหมาะ

    ผมชอบเล่าให้ลูกน้องฟัง ว่ากฎหมายฟิล์มกรองแสง จับอย่างเดียวก็ล้มหมด จนกฎหมายต้องยกเลิก ทั้งๆที่ เราทำถูกกฎหมาย

    เพราะมันไม่เข้ากับสภาพแวดล้อม บ้านเราเมืองร้อน ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราไม่สามารถก้าวข้ามพรรคพวก เพื่อนฝูง คอนเน็คชั่นต่างๆ บางทีนายเรายังด่าเราเลย

    :ปัญหาภาพรวมสภาพการจราจรเมืองกรุงแก้ไขยังไง  

    ให้จราจรโรงพักเจ้าภาพปฏิบัติก่อน

    คือบก.จร.ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่เหมือนจราจรโรงพักจะให้ศักดิ์และสิทธิ์เจ้าของพื้นที่ก่อนในการปฏิบัติ  แต่ถ้ามีปัญหาทำไม่ได้หรือมีปัญหาแล้วเกี่ยวเนื่องหลายท้องที่ อันนี้เป็นหน้าที่ บก.จร. ช่วยแก้ไข

    เราจะเรียกประชุม สน.โน้น สน.นี้ แล้วจะบอกว่า เราจะแก้ปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ กำลังไม่พอเราส่งไปช่วย แต่ถามว่า ถ้าไม่มีปัญหาเราไม่ต้องทำงานเหรอ ไม่ใช่เราก็มีงานของเราอยู่แล้ว 

    งานหลักตั้งจุดตรวจวินัย-ด่านเมา

    อย่างตำรวจที่อยู่ในพื้นราบ ไม่ใช่ทางด่วน  มีการประจำจุดที่มีปัญหาจราจรวิกฤตในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน เช้า เย็น ก็ไปช่วยพื้นที่เขา

    นอกจากนั้น เรื่องบังคับใช้กฎหมาย เราตั้งจุดตรวจตามนโยบาย ตร. คือจุดตรวจวินัยจราจร เรียกว่า 10 รสขม คือ 10 ข้อหาหลัก แต่ละวันจะมีจุดตรวจ 4-5 จุด ทั่ว กทม. รวมกับจุดตรวจควันดำที่อยู่รอบๆ กทม.วันละ 10 จุดช่วงกลางวัน ช่วงกลางคืนก็ตรวจความเมาเพราะต้องการจะลดอุบัติเหตุ

    ซ้ำท้องที่เปลี่ยนจุดตั้งใหม่

    แล้วเอาสถิติอุบัติเหตุในพื้นที่มาวิเคราะห์ก่อน ว่าเกิดจากถนนเส้นไหน ยังไง แล้วเรารู้แล้วนี่ ว่ามันมาจากพื้นที่หรือแหล่งท่องเที่ยวตรงไหน เราก็ทำเรื่องเสนอขอตั้งจุดตรวจความเมาไปให้ บช.น.อนุมัติ

    ถ้าตั้งจุดตรวจแล้ว1.ไปซ้ำกับพื้นที่ ก็ต้องให้สิทธิ์พื้นที่เขา เราก็ต้องย้ายจุด  2.ไปแล้วฝนกำลังตกก็ต้องเลิก หรือ 3.ฝนตกใหม่ๆ ถนนลื่น เราไม่ทำ รถเบรกกันจะชนตำรวจตาย  ฉะนั้นการตั้งจุดตรวจต้องมีอะไรที่ผสมกลมกลืนให้เหมาะสมทุกอย่าง 

    ต้องการลดคนเมาขับรถ

    จะตรวจหน้าสถานบริการก็ไม่ได้ ไม่มี แต่ที่ต่างประเทศไม่มีตั้งด่าน แต่เขามีตำรวจไปยืนลานจอดรถสถานบริการ ยืนไขว้หลังดู ถ้าโซซัดโซเซก็จะเรียกแล้วใช้วิธีทดสอบก่อน เดินบนเส้นตรง หลับตา เงยหน้า เอามือชี้จมูก ได้ไหม ก่อนที่จะไปเป่า จะมีวิธีอย่างนี้ ถ้าคนเมาจะชี้ไม่ถูกหรอก

    แต่กฎหมายบ้านเราให้ใช้ตัวเลขจากเครื่องเป็นหลัก  ตัดตรงที่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ วัดแอลกอฮอล์จากลมหายใจ เราต้องปรับประยุกต์ให้สอดคล้องเหมาะสมกับการปฏิบัติให้สังคมเห็นว่า ที่เราออกไปทำเพราะต้องการที่จะลดคนเมาออกไปขับรถ 

    มีการสูญเสีย-ปัญหาตามมาอื้อ

    การที่มีคนเมาออกไปขับรถ ไม่รู้อะไรจะตามมา เขาอาจจะตายหรือเขาอาจจะทำให้คนอื่นตาย เป็นความสูญเสียของครอบครัวเขา ถ้าตายไปร้องไห้ 2-3 เดือนก็หมด แต่ถ้าติดเตียงล่ะ มีหลายคนที่เป็นอย่างนั้น  มีหลายคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าหัวหน้าครอบครัวทำงานไม่ได้ ลูกเมียจะต้องมาเลี้ยงอีกนี่ปัญหาเลย แล้วจะจับยังไงก็จับไม่หมด

    ผู้การจราจรเมืองกรุงสะท้อนปัญหาที่เป็นผลจากเมาแล้วขับก่อนบอกวิธีแก้ไขที่กำลังจะทำอยู่

    ตั้งเป้าบุกมหา’ลัย-เข้มนักดื่มหน้าใหม่

    ตอนนี้กำลังจะสร้างแนวร่วมทำให้สังคมตระหนักเรื่องการดื่มแล้วขับ โดยเฉพาะนักดื่มหน้าใหม่ จะทำโครงการเข้าไปในมหาวิทยาลัย เพราะนักดื่มหน้าใหม่คือเด็กอายุ 20-21 นักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งนั้น ถามว่าเด็กมหาวิทยาลัย พักผ่อนยังไง 90% ผับบาร์ ใช่ไหม นี่แหละผมจะทำ

    คล้ายๆกับการประกวดมอตโต คำขวัญ อยากให้สิ่งเหล่านี้มันติดหู คนในสังคม เรื่องเมาไม่ขับรณรงค์กันมาเกือบ 20 ปีแล้ว เมาไม่ขับ ดื่มไม่ขับ อยากมีมอตโตใหม่ๆเอาเด็กมหาวิทยาลัย มาประกวดมีรางวัลให้ ค่อนข้างเริ่มต้นไปได้ดีเริ่มมา 10% แล้ว 

    ผุดไอเดียละครสั้นชิงรางวัล

    ขั้นตอนต่อไปคือ ผู้ที่ชนะ จะเอามาสัก 8 มหาวิทยาลัย เอาไปทำละคร ที่มีธีมตามมอตโตตัวเองของทีมที่ชนะ เป็นละครจากมือถือ ให้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้น ไปตรวจดูละครของมหาวิทยาลัยที่เขาฉายในห้องประชุม แล้วออกสื่อ ลงในยูทูป 

    จะดูยอดไลท์ ยอดวิว มหาวิทยาลัยละ 1 อาทิตย์ ดูว่ายอดวิวเท่าไหร่  ถ้ารวมกับคณะกรรมการตัดสิน ควรจะได้รางวัลไป ก็หาสปอนเซอร์อยู่ ที่ 1 อาจจะสัก  5 แสน คุยกับสปอนเซอร์แล้ว กำลังจะตัดสินใจ

    หวังตระหนักรู้โทษเมาขับ

    ถ้าได้ก็ดี มันจะสร้างความตื่นตัว ความตระหนักรู้แล้วไม่อยากจะทำ เพราะเด็กๆเหล่านี้ 1. เสียอนาคตถ้าถูกจับ 2 คือตายหรือเสียชีวิต  หลายๆราย ที่พ่อแม่รับไม่ได้ ที่ธรรมศาสตร์ รังสิต เสียชีวิตจากจักรยานยนต์เยอะมาก เพราะเป็นทางหลวงแล้วรถวิ่งเร็ว เด็กขี่ไปซื้อของแล้วแฉลบโดนนิดหนึ่งก็ตาย  

    เทคโนโลยีทำให้ได้ข้อมูลเร็ว

    แล้ว หน้าที่เราอำนวยการจราจร จากในภาพที่มีมา 30 ปีก่อน จะมีเจ้าหน้าที่ไปยืน แต่ทุกวันนี้ใช้เทคโนโลยีเป็นข้อมูลวินิจฉัยสั่งการ  มี บก.02 ที่จะคอยดูภาพตลอดเวลา มีสื่อออนไลน์ต่างๆจากศูนย์ฯ 1197  จะรับสื่อจากทุกที่ สวพ. 91 หรือ จส.100  เกิดเหตุอะไรศูนย์ต่างๆจะประสานงาน ทีนี้โลกปัจจุบันใครคุมสื่อ ใครคุมข้อมูล เร็วที่สุด คนนั้นได้เปรียบ

    ถึงเร็วเหตุ “คานถล่ม-ตึกถล่ม”

    ยกตัวอย่าง 2 เหตุการณ์ ที่เพิ่งเกิดขึ้นสมัยที่ผมมาพอดี จน น.1 พล.ต.ท.สยาม บุญสม แซวผมว่า พี่บอย มานี่ 2 ถล่มแล้วนะ คานถล่มไปหนึ่งที่ ตึก สตง.ถล่มไปอีกหนึ่งที่ พี่จะถล่มอะไรอีกไหมนี่ แกแซวอย่างนั้น

    เพราะพอเกิดเหตุผมไปถึงคนแรกๆ ที่คานถล่ม ไปบริหารจัดการเบื้องต้น ก่อนที่ผู้บริหารเหตุการณ์ทั้งหมดจะมาถึง 

    ตึก สตง.ถล่ม บังเอิญผมอยู่ที่นี่ก็รีบวิ่งไปดู มีผมกับ รอง ผบช. คุมงานจราจรประชุมที่ขนส่งพอดีก็ไปถึงกัน รีบบริหารจัดการก่อนที่ผู้บริหารเหตุการณ์จะมาถึง คือ ปภ.จะเข้ามาถึง ก็กินเวลา  3-4 ชั่วโมงกว่า ผู้บริหารเหตุการณ์ที่ตามกฎหมายจะเข้ามา เราก็เข้าไปบริหารเหตุการณ์เบื้องต้น โดยเฉพาะการจราจร 

    ส่งผลจราจรโกลาหล

    วันนั้น เป็นการถอดบทเรียนให้กับเราว่าประเทศชาติเราไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อน ต้องเรียกว่าภัยพิบัติระดับชาติ  ถ้าเป็นเรื่องจราจร ต้องเรียกว่าความโกลาหลระดับชาติ วันนั้นรถติดตั้งแต่บ่าย 2 ติดทุกที่ในเมืองขยับไม่ได้ เรารู้อยู่แล้วว่าปริมาณรถมากกว่าปริมาณถนน

    ช่วงเช้ามีเวลา 2 ชั่วโมงในการบริหารให้คนเดินทาง อินบาวหรือว่าค่อยๆไหล เหมือนเทน้ำออกจากขวด ค่อยๆหมดขวด 2 ชั่วโมง แต่ช่วงเย็นเราจะมีฟรีหน่อย เพราะปลายมันจะเปิดคุณเลิกงาน 4 โมงครึ่ง คุณจะถึงบ้าน 6 โมง ทุ่มหนึ่ง หรือ 2 ทุ่ม ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีเดทไลน์ แต่ช่วงเช้าจะมีเดทไลน์ 8 โมงครึ่ง ต้องเข้าทำงาน เพราะฉะนั้นช่วงเย็นจะมีเวลาเยอะระบาย

    แต่วันนั้นมันโกลาหลจากความกลัว แม้กระทั่งตำรวจ  ผมถามว่าตอนเกิดเหตุ ผมโทร.หาลูกเมียผมก่อนว่าอยู่ที่ไหน คือทุกคนต้องมีครอบครัว เชื่อว่าตำรวจทุกคนก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ

    ทิศทางเดินรถสลับกันมั่ว

    วันนั้นทุกคนห่วงครอบครัว ทิศทางการเดินรถสลับกันมั่วหมด ออกมาเวลาพร้อมๆกัน จากเดิมใช้เวลา 2 ชั่วโมง ในการเข้าออก หรือ 3 ชั่วโมงกลายเป็นว่าประมาณครึ่งชั่วโมง คือแผ่นดินไหว บ่ายโมงกว่าเกือบบ่าย 2 คนออกมาแล้ว รถติดกันไปหมด

    ยิ่งมีคานถล่มตรงทางด่วนดินแดงลงด่วนไม่ได้ เรียบร้อยเลยเพราะทางด่วนดินแดง เป็นทางตรงที่จะเอ้าท์บาวคือที่จะออกมาลงดินแดงเพื่อจะลงวิภาวดีออกนอกเมือง ไปไม่ได้  ก็ยิ่งเละไปใหญ่ แล้วพอมาตรงนี้มีปิดกั้นตรงที่ตึก สตง.ถล่ม

    ใช้เทคโนโลยีสื่อแจ้งข่าวสารแก้ปัญหา

    อย่างที่บอก ข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ เราเอาข้อมูลพวกนี้มาใส่ไว้ในศูนย์ฯ 1197 รีบพิมพ์ลงไปในเพจในทางด่วน ออกป้ายประชาสัมพันธ์ เพราะบนทางด่วนสัก 20 กว่าป้าย แล้วฝาก สวพ.91 กับ จส.100

    เครื่องมือนี้ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากๆ ทำให้ประชาชนต้องรู้ว่า เขาควรจะมีทิศทางขับขี่ไปที่ไหนควรจะออกไปอย่างไร 

    ถอดบทเรียนจัดแผนรองรับ

    ถือเป็นการถอดบทเรียน ในรอบ 100 ปี มั้ง ที่มันเกิดขึ้นแต่ควรจะมีแผนไว้ในเรื่องนี้  ได้ยินมาจากเพื่อนตอนนั้นเขาเป็น รอง ผกก.เขาเคยมาทำงานที่ บก.02 เขาบอกว่า เดี๋ยวพอตึกถล่มขนย้ายเสร็จเรียบร้อย จะมาถอดบทเรียน แล้วเขาจะพูดว่า เราควรมีแผนรองรับอย่างไร

    เลยได้คุยกับลูกน้อง แล้วมีลูกน้องคนหนึ่งเสนอความคิดว่า วันนั้นรถมันเข้าออกไม่ได้เพราะการจราจรเป็นแบบเดิม เราต้องจัดระบบการจราจรแบบใหม่

    ต้องมีถนนขาออกเป็นวันเวย์            

    ถนนที่จะออกจากใจกลาง กทม.ควรเป็นถนนที่เป็นวันเวย์ออกได้อย่างเดียว ผมคิดว่าดีเหมือนกัน ทำให้เป็นวันเวย์ ออกได้อย่างเดียวเข้าไม่ได้ เลยคุยกันคร่าวๆแล้วคิดว่า อย่างเช่นด้านเหนือ คือวิภาวดีให้ออกอย่างเดียว เพราะมันยิงตรงมาจากในเมือง ราชปรารภ ลงทางด่วนพื้นราบ ทางด่วนดินแดง ออกได้อย่างเดียว ทั้งสองช่องทาง ส่วนพหลโยธิน ให้เป็นปกติ ให้มีทั้งเข้า ทั้งออก เพราะมีวิภาวดี เป็นทางออกอย่างเดียว

    ด้านตะวันออก สุขุมวิท เพชรบุรี ก็ให้สุขุมวิทออกอย่างเดียว เพราะสุขุมวิท เข้ามาถึงใจกลางเมืองถึงสยามเลย ก็ให้ออกอย่างเดียวทั้งสองช่องทาง ด้านตะวันตก มีบรมฯ เพชรเกษม และพระราม 2 ให้พระราม 2 ออกอย่างเดียว บรมฯ เพชรเกษม ให้เหมือนเดิม

    เก็บข้อมูลให้ผู้ใหญ่ทำแผนรับภัยพิบัติ

    แต่ตำรวจไม่สามารถประกาศได้ แต่ถ้าสมมติว่า ระดับประเทศต้องการข้อมูลด้านการจราจร แก้ไขปัญหาวิกฤต ที่มันเกิดความวุ่นวาย หรือโกลาหลแบบเดิมอีกอย่างนี้ จะเสนอให้ผู้มีหน้าที่ พอประกาศเป็นภัยพิบัติระดับชาติแล้ว ให้ประกาศออกทีวีเลย ว่าท่านที่จะไปทางภาคใต้ ออกทาง กทม.ทิศตะวันตก ให้ใช้พระราม 2 ออกอย่างเดียว ไม่มีเข้า ใช้ 4-5 ช่องทาง คนที่จะเข้าให้ใช้เส้นทางเพชรเกษม บรมฯ

    เผื่อไว้ไม่งั้นวุ่นอีก

    นั่นหมายถึงว่า ต้องถูกประกาศออกทีวีนะ เพียงแต่แผนที่เตรียมการรองรับจะให้ตำรวจจราจรในเส้นทางที่ผ่านต้องเตือน มันยังเป็นไอเดียไทป์นะ แต่ถ้าตกลงตามนี้ ต้องพิมพ์ลงไปว่าถ้าจะออกจาก กทม.เป็นวันเวย์ ให้ใช้ถนนเส้นนี้ๆ ผมว่าพอจะช่วยได้คือต้องมีแผนระดับชาติ

    ผมว่าอีกไม่นาน เพราะมันไม่เคยมีมาก่อนก็ต้องเตรียมตัวไว้ เพราะไม่เช่นนั้นจะวุ่นแบบวันนั้นอีก รถติดวันนั้นตั้งแต่บ่าย 3 ไปยัน 4 ทุ่ม  เป็นตัวอย่าง ภัยพิบัติที่กระทบด้านการจราจร 

    งานจราจรพระราชดำริชูภาพลักษณ์

    เมื่อไม่นานมานี้ มีตำรวจนายหนึ่งผมเรียกมันเจ้าใหม่ที่โรยตัวลงไปช่วยคนงานที่ติดในรูเข็ม ก็เป็นอะไรที่เด็กทำไปเพราะคำนึงถึงว่าอยากจะช่วย แต่ความรู้หรือทักษะรอบๆด้าน ยังไม่ค่อยมี

    โชคดีที่ว่าแค่ทดลองลงไปก่อน แล้วก็ขึ้นมา ถ้าลงไปเต็มตัวเดี๋ยวจะขึ้นไม่ได้ จะหลับไปก่อน อันนั้นก็คือการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ 

    หมอคน หมอรถ หมอถนน 

    โครงการพระราชดำริ ตั้งมาปี 2536 เน้นเรื่องอำนวยการจราจร ในจุดที่ฝืด จุดที่เป็นคอขวด  ถึงวันนี้ พัฒนาไปไกลแล้ว แบ่งงานจราจรโครงการพระราชดำริ เป็น 3 ฝ่าย คือหมอคน หมอรถ หมอถนน

    หมอคนคือทำคลอดฉุกเฉิน แล้วช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ต้องการไปโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ตอนนี้จะมีเรื่องการนำอวัยวะไปให้กับผู้ต้องการรับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ หัวใจ

    ส่วนหมอรถคือ ซ่อมรถเบื้องต้น  หมอถนน คือการอยู่ประจำจุด ที่มีการฝืด จุดติดขัดเพื่อช่วยเหลือพื้นที่ กองนี้เป็นกองที่สร้างภาพบวกให้ บก.จร.เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะให้บริการให้อย่างเดียว 

    ธรรมดาโลกมีรักก็มีเกลียด

    แต่กองอื่น มีประชาสัมพันธ์ด้วย มีจับกุมด้วย เป็นธรรมดาเหมือนตำรวจหน่วยอื่น ที่ต้องมีทั้งก้อนหิน มีทั้งดอกไม้ พูดง่ายๆ ก็ต้องบอกให้ลูกน้องดำเนินการ

    อย่างที่บอก คุณธรรมต้องนำกฎหมาย ต้องมีใจที่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายถึงได้รับการยอมรับ จะทำให้ได้ให้ไม่มีเรื่อง แต่ทุกวันนี้ที่ยังมีเรื่องเข้ามาก็เพราะมันยังทำไม่ได้ 

    ชี้ปัญหาจราจรจะหนักขึ้นเรื่อยๆ

    ผมคิดนะ  สภาพการจราจรจะหนักขึ้นเรื่อยๆ วิธีการแก้บางคนมาแก้ที่ปลายเหตุคือระดับการเมือง พยายามจะแก้เอาการจราจรไปอยู่ท้องถิ่น ยังนึกไม่ออกเลยจะแก้รถติดได้ยังไง

    เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่บอกว่าจะมีระบบขนส่งมวลชนให้บริการได้ทุกพื้นที่ เพื่อจะได้ลดการใช้รถให้น้อยลง

    ตอนนี้เรามีรถไฟกี่สายแล้ว แต่ทำไมรถติดมากขึ้น ดังนั้นยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องและสมบูรณ์ต้องมีอะไรอื่นๆอีก อย่างเปิดเทอม เรามีโรงเรียนไม่รู้กี่สิบโรงอยู่ใจกลาง กทม.นี่คือเรื่องผังเมือง 

    กฏหมายอย่างเดียวไม่ได้

    ยังไงก็ตาม ตำรวจมีหน้าที่ตรงนี้ ก็ต้องปรับการปฏิบัติให้รองรับได้ ทีนี้มันก็ในระดับ ตร.สั่งการว่า คนที่รับผิดชอบในพื้นที่ไหน หาแนวร่วม

    สมมติว่า บริเวณอนุสาวรีย์ฯ มีรถติด เขาก็ให้โรงพักหาแนวร่วม หน่วยราชการ หรือหน่วยเอกชน ที่ใช้รถใช้ถนนในพื้นที่นั้นมาประชุมร่วมกันว่าจะตั้งกฎเกณฑ์กันยังไงดี เลี้ยวเข้าบริษัทท่านตรงนี้จะตัดรถทางตรงนะ ขอไปกลับรถในจุดที่จัดไว้ได้ไหม ค่อยกลับมาบริษัทอีกทีหนึ่งคือจะใช้อำนาจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ความร่วมมือด้วย 

    ราชประสงค์โมเดลแก้จุดฝืด

    ยกตัวอย่าง ราชประสงค์โมเดล ถนนมันเส้นใหญ่แล้วรถจะกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น แล้วรถมันขวางรถทางตรง ติดกันไปหมด ก็ทำเป็นโมเดลที่จะแก้จุดฝืดให้รถไปได้ คือจัดระบบการจราจร จัดระเบียบการจอดรถกลับรถ

    อีกอันหนึ่งเอามาใช้ที่แพลทตินั่มคือพอลงจากสะพานมาเลี้ยวซ้าย ตรงนั้นจะเลี้ยวซ้ายไม่ได้ รถจะจอดอั้นกันตรงแพลทตินั่ม มันมีสะพานข้ามทางแยกอีก เหลือ 2 ช่องทาง พอรถมันจอดเข้ามา เหลือแค่ช่องทางเดียวรถมันก็ติด

    ต่อด้วยโมเดลแพลทตินั่ม

    ทีนี้เราก็มาทำเป็นโมเดลแพลทตินั่ม จัดให้รถที่มาจอด รถแท็กซี่ สามล้อ อยู่ทางช่องซ้ายสุด อีก 2-3 เลน ให้รถไปได้ หลังจากทำมาแล้วตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.จนถึงกลางเดือน เม.ย. สน. พญาไท บอกว่า ไม่เคยได้รับโทรศัพท์มาด่าว่าทำไมปล่อยรถอย่างนั้นอีก นั่นคือการจัดระบบการจราจร  การอยู่การจอด 

    ฝากให้คิดประสิทธิภาพบังคับใช้กม.

    สุดท้ายอยากจะฝากเรื่องประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องการจราจรของเรา  อย่างที่ทราบกันดีมีปัญหาหลายอย่างมาก ตอนนี้ใบสั่งที่ออกไปจะมีอัตราคนมาเสียค่าปรับหรือมาเข้าขั้นตอนตามกฎหมายเหลือประมาณสัก 20% 

    เพราะเราแก้ไขระบบกฎหมายเดิม ที่เรียกเก็บใบอนุญาตได้แล้วออกใบแทนใบอนุญาตคือใบสั่งให้ถือไว้  ตัวนี้คือการบังคับใช้กฎหมายให้ครบขั้นตอน ทุกคนต้องมาเสียค่าปรับเพื่อจะเอาใบขับขี่กลับไปแต่ตอนนี้ยกเลิกไปแล้ว 

    พอยกเลิกอันนี้ไป จริงๆ จะมีการตั้งศาลจราจรขึ้นเพื่อที่จะสอดรับกัน ยกเลิกการยึดใบขับขี่จะมีศาลจราจรไว้ แล้วมีกฎหมายปรับเป็นพินัย ออกมาอีก มัน็ทำให้ปี 2566-2567 การจับกุม การบังคับใช้กฎหมาย เปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด ชะลอไปอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง 

    ตำรวจดูฝ่ายเดียวไม่ได้

    ตอนนี้วิธีการต่างๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังจะปรับให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ที่ออกมา แต่ปรับยังไงก็ตาม ผลบังคับใช้ หรือการบังคับใช้ของตำรวจฝ่ายเดียวยังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะยังไม่สามารถที่จะทำให้เกิดขึ้น อย่างที่บอก ชื่อก็บอกการบังคับใช้กฎหมาย เราบังคับไม่ได้

    อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ตำรวจฝ่ายเดียวที่จะต้องมานั่งดู ที่ว่าถ้าคุณไม่สามารถบังคับผู้ขับขี่ให้อยู่ในกฎในเกณฑ์ แล้วเราจะเอาระเบียบที่ไหนมาอยู่กับบ้านเมืองนี้ คนจะไปจอดที่ไหนยังไง รถตุ๊กตุ๊ก แท็กซี่ สามล้อ ก็ทำกันแล้วพอตำรวจไปไล่ ไปจับ เขาก็บอกว่า พี่เอาใบสั่งมา

    แล้วมันก็ยัดใส่เก๊ะ ใบสั่งมันเป็นปึก ไม่เคยไปเสีย แล้วทำอะไรไม่ได้ เพราะการจะทำสำนวนอันหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  บ้านเมืองเราเป็นระบบกล่าวหา เจ้าพนักงานผู้กล่าวหา จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานไว้ทั้งหมด สถิติการกระทำผิดตอนนี้ เพิ่มขึ้นมาก

    ต้องช่วยกันแก้ไข

    ยกตัวอย่าง แค่เดือน ก.ย.ปี 2567  ข้อมูลนี้มาจาก กทม. มีกล้องอยู่ตามแยกต่างๆ ทั้งหมด 33 แยก เชื่อหรือไม่ว่า เดือน ก.ย.ปี 2567 เดือนเดียว มีผู้กระทำผิดถูกจับได้ทางกล้อง 1.7 ล้านราย จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำสำนวน เอางบที่ไหน

    ออกใบสั่ง ใบสั่ง 1 ใบ นี่ ใช้ต้นทุน 20 บาท ออกจดหมายเตือนอีก 15 บาท ถ้าเป็นใบสั่งจากกล้อง ถ้าเกิน 2 ครั้ง แล้วใบสั่ง 1 ใบ ต้องบวกอีก 20 บาท เป็น 50 บาท แล้วล้านใบเท่าไหร่ก็ล่อไป 50 ล้าน

    งบประมาณจัดทำก็มีจำกัด ระบบอะไรต่างๆ ทุกวันนี้ ตำรวจพยายามจะปรับเพื่อให้มันไปได้ แต่ยังไงๆ ถ้าบอกว่าจะฝากอะไร อยากจะฝากเรื่องนี้ ว่ามันเป็นเรื่องของบ้านเมือง ที่จะต้องมาช่วยกันในการแก้ไข ให้มันมีผลบังคับใช้ 

    ในต่างประเทศ ทุกคนถ้าไปขับรถก็จะกลัวโดนจับ ขับกันตามกฎระเบียบเป๊ะ เพราะอะไร การบังคับใช้กฎหมายเขาค่อนข้างแรง แล้วอัตราโทษเขาค่อนข้างสูง อยากจะฝากเรื่องนี้ไว้…

    ผู้การบอยปิดท้าย…

    ลองคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ดู สิ่งที่“ผู้การบอย”ฝากเรื่องนี้ไว้ตอนท้ายนั้น แฝงคำตอบในตัวอยู่แล้ว

     เฮียเก๋8/6/68

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments