“เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคงต่างซื่อตรง พิทักษ์สันติราษฎร์นั้นถึงตัวจะตายก็ช่างมัน มิเคยคำนึงถึงชีวันเข้าประจันเหล่าร้าย เพื่อประชา”
ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงมาร์ชตำรวจ ทำให้เรานึกถึงภาพการปฏิบัติหน้าที่อันเข้มแข็ง ของเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กับภารกิจในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนการรักษาความสงบสุขให้สังคมอยู่เสมอ
หากย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในเดือนตุลาคมนี้เอง มีเหตุการณ์ชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และมีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก่อเหตุจลาจล ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และความปกติสุขในสังคม
อีกทั้งคนร้ายยังได้ทำลายทรัพย์สินทางราชการหลายแห่ง เผาป้อมตำรวจ และโจมตีตำรวจด้วยอาวุธต่างๆ ทั้งยิงลูกแก้ว ขว้างปาประทัด ยิงปืน และปาระเบิด จนเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนต้องเข้าไปควบคุมเหตุการณ์และกระชับพื้นที่
วันที่ 6 ตุลาคม 2564 ขณะที่ “หมู่เดวิด” ส.ต.ต. เดชวิทย์ เลทเท็สสัน ผู้บังคับหมู่กองร้อยที่ 5 กองกำกับการอารักขา 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน หนึ่งในชุดควบคุมฝูงชน ที่เพิ่งรับราชการเพียง 2 ปี ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ เพื่อนำสันติสุขคืนสู่ชุมชนย่านดินแดง
กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใช้กระสุนจริงยิงเข้าที่ศีรษะทะลุหมวกจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
เขาหมดสติ ร่างของเขาล้มกองลงกับพื้นกระสุนเข้าไปฝังอยู่ในเนื้อสมอง ทำให้เนื้อสมองบางส่วนถูกทำลาย แพทย์จึงต้องตัดก้อนเนื้อสมองที่ถูกทำลายเป็นการเร่งด่วน เพื่อรักษาชีวิต ทำให้เขาต้องอยู่ในห้อง ICU โรงพยาบาลตำรวจร่วม 20 วัน
“คนดี…ไม่มีวันตาย”
เหตุการณ์สะเทือนใจในครั้งนั้นทำให้นางมะลิวัลย์ เลทเท็สสัน ผู้เป็นแม่ เสียใจจนแทบขาดสติ เมื่อทราบว่าลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่
ชีวิตของลูกกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายเป็นตายเท่ากัน สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นคือการสวดมนต์อธิษฐาน วิงวอนขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ “หมู่เดวิด” ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง แม้จะไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ 100% เหมือนเดิมก็ตาม
เนื่องจากพ่อของหมู่เดวิดซึ่งเป็นชาวเบลเยียม เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว มีเพียงเธอและลูกชายเท่านั้นที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 2 คนแม่ลูก
ปาฏิหาริย์มีจริง ! ตามคำอธิษฐานของผู้เป็นแม่ เมื่อเวลาผ่านไป 20 วันลูกชายของเธอเริ่มรู้สึกตัว แต่ยังขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้
หลังออกจากห้อง ICU แล้วก็ยังคงพักฟื้นที่โรงพยาบาลตำรวจต่ออีกกว่า 3 เดือน เพื่อทำกายภาพ จนทำให้ลูกชายของเธอจึงเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้บ้าง แต่ก็ยังต้องเริ่มหัดเดินใหม่
เธอทุ่มเทดูแลลูกเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ทั้งอาบน้ำ ป้อนข้าวให้กับลูกชายที่เป็นแก้วตาดวงใจ
“ขอบคุณจากหัวใจ ที่ผู้เป็นนายไม่ทอดทิ้ง”
แม่ของหมู่เดวิด เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า เธอยังจำภาพที่ผู้บังคับบัญชาแทบทุกระดับได้มีความห่วงใย ให้ความช่วยเหลือใส่ใจและดูแล รวมทั้งให้กำลังใจเธอและลูกชายเป็นอย่างดี
แม้แต่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในขณะนั้น ก็ยังมาเยี่ยมด้วยตัวท่านเอง พร้อมมอบเงินช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังได้รับน้ำใจจากเพื่อนร่วมอาชีพช่วยกันบริจาคเงินช่วยเหลือเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับลูกชายของเธอ
แม้จะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ลูกชายต้องสูญเสียไป แต่เธอและลูกก็ซาบซึ้งในน้ำใจเป็นอย่างมากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่เคยลืมตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างลูกชายของเธอเลย และคิดว่าไม่เสียแรงที่ลูกชายตั้งใจมาเป็นตำรวจ
เส้นยาแดงผ่าแปด…กับความหวังอันริบหรี่
หมู่เดวิด ได้พยายามใช้ความทรงจำอันเลือนลาง ค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวให้เราฟังว่า
หลังจากถูกยิงเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงบริเวณกะโหลกศีรษะที่มีบาดแผลฉกรรจ์ จนหมดสติล้มลง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหนผ่านวันผ่านคืนไปเท่าไร
ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ และเห็นว่าผู้บังคับบัญชาหลายท่านมาเยี่ยมแต่เขาก็ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนร่างกายหรือตอบสนองใดๆ ได้เลย
มีเพียงน้ำตาที่คลอเบ้าเมื่อรับรู้ว่าร่างกายของเขาไม่สามารถกลับมาใช้การได้เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะกระสุนเข้าไปฝังในจุดสำคัญ จึงทำให้ร่างกายซีกขวาแทบทั้งหมดใช้การไม่ได้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ผมไม่อยากเป็นภาระของแม่ ไม่อยากทำให้แม่ลำบาก เพราะแม่แก่แล้ว”
ด้วยความกตัญญูต่อผู้เป็นแม่นี้เอง ทำให้เขาพยายามลุกขึ้นสู้กับสังขารร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป จนถึงวันนี้นับเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ที่หมู่เดวิดยังต้องไปทำกายภาพที่โรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่อง ด้วยความคิดที่ว่า
“แม้จะเคลื่อนไหวได้ช้า แต่ก็ยังดีกว่าต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทราเคลื่อนไหวไม่ได้เลย”
ความพยายามของเขาเป็นผลสำเร็จจนเขาสามารถกลับมาทำงานได้ โดยทำหน้าที่รับส่งเอกสาร คล้ายๆกับทำงานด้านธุรการ ในบก.อคฝ.
หมู่เดวิดยังย้ำด้วยว่า
ผมไม่เสียใจเลยกับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบสุขให้กับสังคมในวันนั้น และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็ยังเต็มใจปฏิบัติภารกิจนั้นเช่นเดิม
“เพราะเราเป็นตำรวจ”
ผมขอขอบคุณทางโรงพยาบาลตำรวจที่ตั้งใจรักษาผมอย่างเต็มที่กราบขอบพระคุณผู้บังคับบัญชาทุกท่านที่เห็นในคุณค่าและเมตตาช่วยเหลือผม
วันที่ 20 มีนาคม 2568 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผบช.น. ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจ อคฝ.ที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติหน้าที่ พร้อมมอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจด้วย
ต่อมาวันที่4กันยายน68 พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผบก.อคฝ. พร้อมที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ มอบประกาศเกียรติคุณ และ
ของที่ระลึกให้กับ ส.ต.ท.เดชวิทย์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส
จากการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน เมื่อวันพุธที่ 6 ต.ค.64
นับได้ว่า เป็นข้าราชการตำรวจที่มีความเสียสละ กล้าหาญ
ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นฟันเฟืองที่สำคัญให้กับกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ และอดทน
หมู่เดวิดยังได้ฝากไปถึงเพื่อนตำรวจด้วยว่า
หากได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ขออย่ายอมแพ้ อย่าท้อถอย ให้ใช้หัวใจนำทางในการลุกขึ้นสู้และฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้เราได้กลับมาทำหน้าที่ตำรวจที่เรารักและเป็นเสาหลักของครอบครัวต่อไป
“แด่เธอผู้ไม่แพ้”
“ผมอยากกลับมาวันทยาหัตถ์ให้ได้อีกครั้ง”
นั่นคือความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจากหัวใจอันยิ่งใหญ่ของตำรวจผู้มีกะโหลกที่ขาดหาย ทุกวันนี้เขาก็ยังมีเศษกระสุนฝังอยู่ในเนื้อสมอง และเขายังหวังว่าจะพูดอ่านเขียนและสื่อสารให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน
สิ่งเดียวที่ ผบ.หมู่ผู้กล้า และแม่ในวัยชราของเขา อยากจะได้จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็คือ “การได้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตราบจนถึงวันเกษียณอายุราชการในวัย 60 ปี”
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเสียงร้องขอจากตำรวจตัวเล็ก ๆ ที่อุทิศตนในขณะปฏิบัติหน้าที่และผ่านวินาที “เฉียดตาย” คงดังไปถึงหูผู้เป็นนายนะคะ
“แม้ไม่มีใครรู้ แต่เรารู้ รู้ว่าเรานั้นทำเพื่อใคร ไม่ว่าวันพรุ่งนี้ มันจะเป็นเช่นไร ก็จะไม่เสียใจกับสิ่งที่เราได้ทำ
ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำแม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ”
https://vt.tiktok.com/ZSDTsTGPn/
เด็ดดาว รายงาน 6/10/68