“เปรี้ยง โครม ครืด ครืด” ดังจากบนถนนช่วงการจราจรหนาแน่น
ปฏิกิริยาแรกแวบมองไปจุดต้นเสียงรถจักรยานยนต์ล้มกลิ้งลงกลางถนน คนขี่เป็นผู้หญิงนางหนึ่งล้มนอนเค้เก้ ถุงพลาสติกใส่แหนมก้อนสี่ห้าก้อนหล่นกระจายลงพื้นถนน
ใบหน้าของหล่อนเหยเกผสมโกรธขึ้งมองไปยังรถแท็กซี่สีน้ำตาลจอดถัดไปข้างหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกร้าว
“ขับรถยังไงกันวะ ไม่เห็นเลยรึไง คนเลี้ยวออกมาแล้วยังไม่หยุดชะลอให้ ปัดโธ่เอ๊ย”
ขณะที่รถเก๋งสีดำอีกคันตามมาช้าๆ เบรกทันไม่เกิดความร้ายแรงซ้ำซ้อน
ข้าพเจ้าก้าวลงไปบนถนนเพื่อช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ก้มเก็บแหนมห่อพลาสติกใส่ถุงให้ แล้วเก็บโทรศัพท์มือถือยื่นให้หญิงเจ้าของที่ยังลุกไม่ขึ้น มีชายหนุ่มร่างกำยำสูงอีกคนหนึ่งเข้ามาช่วยอีกแรง
ข้าพเจ้าแนะนำให้หญิงผู้ประสบเหตุการณ์ส่งโทรศัพท์มือถือให้ชายหนุ่มถ่ายรูปบันทึกภาพที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐานก่อนแจ้งประกันภัยหรือตำรวจจราจรมาจัดการให้ พร้อมทั้งยกรถจักรยานยนต์ตั้ง สำรวจความเสียหายคร่าวๆก่อน ชั่วนาทีหนึ่ง
คนขับรถแท็กซี่อายุราวหกสิบขึ้น ลงจากรถเดินเข้ามาดูคนขี่มอเตอร์ไซค์ ท่าทางสีหน้าบอกไม่ถูกราวกับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและมันเกิดขึ้นได้ยังไง ขณะที่ฝ่ายหญิงผู้ประสบเหตุยังคงนั่งอยู่กับพื้นถนน ปากพร่ำตลอดเวลา
“ขับรถยังไง ไม่ดูคนอื่นเลย จะไปให้ได้ท่าเดียว ดูซิๆ”
เสียงนางค่อยจางบางเบาไปทีละน้อยๆ ข้าพเจ้าปล่อยให้เรื่องดำเนินไปตามวิถีของมัน เดินจากไปตามเส้นทางมุ่งหน้าไปยืนรอรถเมล์
เดินขึ้นสะพานลอยตาผู้คนหลากหลายหน้าวัยสถานภาพฐานานุรูปสุดแต่จะกล่าวขานสลับพร่าเลือนรางเต้นพลิ้วไหวในกรอบทัศนา
พลันสายตาปราดพานพบหญิงคนหนึ่งอายุคะเนประมาณสามสิบ นางนั่งอยู่บนพื้นสะพานลอยข้ามถนน มีขันพลาสติกวางเบื้องหน้า
ในอ้อมอกโอบร่างน้อยๆของทารกแนบอก ให้ทารกดูดดื่มกษิรธาราตามวิถีธรรมชาติของมนุษย์ในวงจรชีวิตดั้งเดิมสุดๆ ท่ามกลางสายตาหลากหลายคู่เพ่งมองมิอาจเมินข้ามไปได้
มีช่องว่างระหว่างสิ่งที่เห็นเป็นจริงหรือปลอมถกเถียงคัดง้างในดวงกมลของคนเหล่านั้น
ใช่แม่กับลูกน้อยหรือไม่ใช่ ใช่คนสัญชาติไทยหรือต่างด้าว
แต่ดูเหมือนกระแทกสายตาตรงบัตรใบหนึ่งคว่ำวางตรงข้างขันพลาสติก คล้ายบัตรประชาชนที่ใครๆ รวมข้าพเจ้าพกติดกระเป๋าเงินตลอดเวลาที่ออกจากบ้านไปในที่สาธารณะ
ข้าพเจ้าคิดไปถึงวิธีจัดการแก้ไขข้อกังขาว่านางเป็นคนถือสัญชาตินี้หรือไม่
ไม่จำเป็นต้องอรรถาธิบายให้เหนื่อยใจ นางจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนทุกวินาทีเพื่อดำรงชีพของตนเองและคนใกล้ชิดหรือลูกๆ นางยอมทำอย่างไม่ลังเล คงเป็นอย่างนั้นแน่นอน
ชีวิตดำเนินไปอย่างมีเงื่อนไขไมาอย่างใดก็อย่างหนึ่ง
เหมือนดังผู้คนอีกกว่ายี่สิบล้านคนต้องเบียดเสียดแย่งคิวยืนยันสิทธิรับเงินสนับสนุนจากรัฐสองพันกว่าบาทใช้จ่ายซื้อสิ่งของอาหารยังชีพตามนโยบายโครงการคนละครึ่ง
แม้จะต้องรอคอยหน้าธนาคารครึ่งค่อนวันตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อยกลางแสงแดด ทุกคนก็ไม่ย่อท้อ แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเงินในสายตาของคนมีอันจะกินก็ตามที บ้างทนร้อนไม่ไหวก็วางรองเท้าต่อคิวกันแทนไปเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ของประเทศมันบ่งบอกนัยสำคัญเรื่องปากท้องของประชากรที่คงถึงขั้นไส้กิ่วแล้วหรือนี่
ข้าพเจ้ามองผาดไม่ผ่านเลย
หรือยุคเข็ญได้มาถึงแล้ว ยุคที่ขุกเข็ญขาดแคลน ข้าวยากหมากแพงดั่งคำโบราณที่ผู้คนเคี้ยวหมากเป็นเครื่องผ่อนคลายอารมณ์
ขณะปัจจุบันมีทั้งกัญชายาฝิ่น บุหรี่มวนไฟฟ้ากระท่อม กระทั่งผงขาวไอซ์ สารพัดประดามี ทั้งน้ำเมาน้ำละมุลบำเรอจิตจรุงอารมณ์
ผู้คนเผชิญชีวิตลำเค็ญแสนเข็ญอย่างสาหัสสากรรจ์ แม้นเศษเงินเท่าไร น้อยนิดแค่ไหน ขอให้ได้มาเจือจานประทังหิว
พร้อมเสมอจะบากบั่นไปเข้วแถวรออย่างไม่ระย่อท้อใจ อนาถนักกับสภาวะทุกข์เข็ญคนยากไร้
ข้าพเจ้าต่อรถสองแถวสีแดงเลือนกคันหนึ่ง เจ้าของหรือคนขับคงเข้าใจวิถีชาวบ้าน ต้องการกำลังใจอะไรสักอย่าง จึงมีข้อความปลุกปลอบใจ
“ขึ้นรถคันนี้แล้วจะรวย”
“สองแถวใจดี”
เขียนด้วยสีสันบนแผ่นกระดานไม้อัดแปะติดด้านในที่นั่งโดยสาร พอให้ลูกค้าได้ชื่นใจบ้างยามใช้บริการเดินทางไปทำงานหรือธุระปะปังที่ใด ลงจากรถสองแถวแล้วยังพกความหวังเป็นเหมือนเงินทอนกลับคืนมาบ้าง แม้ความหวังนั้นเหมือนลมแล้งพัดผ่านชั่งประเดี๋ยว
ชายสูงวัยร่างท้วมผมสีดอกเลา เห็นอยู่เสมอตามเส้นทางรถเมล์รถสองแถว หิ้วกระเป๋าใบเขื่องมีถุงใส่ขวดน้ำอีกสองสามใบพกมาประจำ สัมภาระในกระเป๋ามีน้ำหนักพอสมควร เห็นแกหิ้วไปมาประจำตามเส้นทางเดิมขึ้นรถเมล์ต่อสองแถว
แม้อายุล่วงเลยวัยเกษียณมาหลายขวบปี แกคงทำงานอยู่สักที่หนึ่งที่ใดในละแวกใกล้กับที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ บางครั้งช่วงเย็นหลังเลิกงานพบแกในสภาพอิดโรยอ่อนล้าเดินหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพานลอย
แกจะหยุดยืนพักสูดลมหายใจบนสะพานห้าหรือสิบนาทีเพื่อให้มีเรี่ยวแรงเดินข้ามฟากไปรอรถเมล์อีกทอดหนึ่งกลับบ้านพักต่อ คงใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงทั้งขาไปขากลับเป็นอย่างนี้เสมอทุกวัน
ภาพอย่างนี้จะเห็นไปได้อีกนานเท่าใด ไม่อาจรู้ได้
แต่คาดเดาได้ว่าคงอีกไม่กี่ปีนับจากนี้ต่อไป ผู้คนไม่ต่างจากดวงดาวพราวพร่างมีแสงสว่างกระพริบระยิบระยับยามเยาว์ ล่วงผ่านกาลเวลากลายเป็นดาวอับแสงหรือดาวที่ม้วยมรณา
รอวันเวลากลายเป็นฝุ่นคละคลุ้งในห้วงเวหาจักรวาลอันไร้จุดสิ้นสุด.
3/11/2568

























