วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2565 14:30น. ที่ วัดบางเตย ถนนนวมินทร์ ย่านบึงกุ่ม มีพิธีฌาปนกิจ พล.ต.ต.พินิจ สัตย์เจริญ อดีต ผบก.ประจำ ตร.หลังเสียชีวิตจากโรคไต ในวัย75ปีท่ามกลางแขกเหรื่อคนรู้จักจำนวนมาก
โด่งดังจากภาพสมัยปฏิบัติหน้าที่ สวป.สภ.อ.เมืองนนทบุรี พล.ต.ต.พินิจ ซ้อนท้าย จยย. จ.ส.ต.บุญนำ สินสวัสดิ์ นักเรียนพลรุ่น 16 ร้อย 2 เขาน้อย สายสืบไล่ยิงคนร้าย เหตุเกิดกลางดึกในซอยทานสัมฤทธิ์ ปี 2523
ภาพนี้ วัลลภ คล้ายพงษ์ อดีตผู้สื่อข่าว นสพ.ไทยรัฐ จ.นนทบุรี ลั่นชัตเตอร์บันทึกเสี้ยวนาทีนี้ไว้ได้ ชื่อภาพ“นาทีวิกฤต” ได้รับรางวัลภาพยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (รางวัลพูลิตเซอร์) และรางวัลอาเซียน ปี 2524
วัลลภ เขียนบทกลอนไว้อาลัยให้ พล.ต.ต.พินิจ ในวันจากลา
เขา หนึ่งเดียว เที่ยวล่า หาคนร้าย
ยอมเสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ใจกล้าหาญ
คุ้มครองคน ทุกชนชั้น มันคืองาน
ปณิธาน สาบานไว้ ในแผ่นดิน
ประวัติชีวิตพลตำรวจตรี พินิจ สัตย์เจริญ
เกิด 22 ตุลาคม 2489เป็นบุตร พ.ต.ท.ขุนพลบำบัดภัย (บุญ) สัตย์เจริญ คุณแม่คำใบ สัตย์เจริญ คู่สมรส คุณครูผ่องพรรณ สัตย์เจริญ บุตรธิดา 1. ยศนันต์ (บอมบ์) 2. เกล็ดดาว (ฝน)3. เบนซ์ (เบนซ์)
จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม จังหวัดพิษณุโลกโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 7 นายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นที่ 23
เส้นทางชีวิตสีกากี ตอนที่ 1
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจสมัย ปี 2500 เป็นผู้เริ่มให้มีเพลงมาร์ชตำรวจขึ้น จึงขอร้องให้สองบรมครูเพลง คือ ครูนารถ ถาวรบุตร แต่งทำนอง และให้ ครูแก้ว อัจฉริยกุล ใส่เนื้อร้อง
เมื่อเพลงมาร์ชแต่งเสร็จ ตำรวจทั่วประเทศทุกคนชอบมาก ถือเป็นเพลงปลุกใจให้เหล่าตำรวจทั้งหลาย รู้สึกรักในหน้าที่ที่รักษาความสงบ รักษากฎหมาย มีเกียรติ มีความแข็งแกร่งทั้งกายใจ พร้อมผจญกับผู้ร้ายนานาที่ทำผิดกฎหมายและกล้าตายอย่างไม่เสียดายชีวี เพียงขอจับคนทำผิดมาลงโทษตามกบิลเมืองเท่านั้น
ถ้าถามว่าจริงหรือที่ตำรวจทุกคนจะต้องปฏิบัติตัวเอง ดังเนื้อหาของทุกคน คำตอบคือ อาจตอบได้ไม่ถนัดปากนัก
เพราะรู้ดีอยู่อำนาจและหน้าที่ของตำรวจไทยนั้นมันเอื้อต่อผลประโยชน์นานาประการ จึงยากแท้ยิ่งที่จะมีใครสักคนสมจริงดังเนื้อเพลงมาร์ชตำรวจดังกล่าว
แต่…ประเทศไทยของเรา หาใช่จะขาดคนเช่นนี้ไปเสียเลย มีหนึ่งคนหละที่ถือมั่นยึดมั่นความซื่อตรงต่อหน้าที่ มิเคยมีจุดดำสักจุดที่ก่อเกิดเป็นตำรวจในสายตาของผู้บังคับบัญชาใต้บังคับบัญชา สื่อมวลชนและประชาชน
เท่านั้นยังไม่พอ เขาเป็นนายตำรวจหัวใจเพชร กล้าพอที่ดวลปืนกับเหล่าร้ายแบบถึงลูกถึงคนถือเป็นตำรวจมือปราบระดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว
แน่นอน…เขาคือ พลตำรวจตรี พินิจ สัตย์เจริญ ที่รักอาชีพงานตำรวจตามสายเลือดอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ต่อไปนี้มาทำความรู้จักกับเด็กบ้านนอกเมืองสองแคว จังหวัดพิษณุโลก ว่า อะไรทำให้เขาได้เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นที่ 23 ได้อย่างไร?
ตอนที่ 2
ราวปี 2480 ขึ้นไป มีตำรวจโด่งดังท่านหนึ่ง เป็นชาวพิษณุโลกโดยกำเนิด คือ พ.ต.ท. ขุนพลบำบัดภัย( บุญ สัตย์เจริญ)
นายตำรวจท่านนี้ ทางการและประชาชนยกย่องเป็นนายตำรวจตงฉิน และกล้าหาญยิ่งนักของเมืองพิษณุโลก
เมื่อครั้งที่เมืองอุดรธานี มีปัญหาโจรผู้ชุกชุม ทางราชการได้ส่งให้ พ.ต.ท.ขุนพลบำบัดภัยไปปราบโจรร้ายเพียงไม่กี่เดือนโจรร้ายที่ถูกจับตายก็มี ถูกจับใส่กรงก็มาก ชาวเมืองอุดรฯ ดีอกดีใจนอนตาหลับกันทั่วหน้าผู้หลักผู้ใหญ่สมัยนั้นต่างได้หน้าตากันทั่ว
แต่ พ.ต.ท.ท่านนี้ มักเก็บตัวเงียบไม่ยินดียินร้ายต่อคำติชมเขาพูดกับลูกน้องเสมอ ว่า
ประชาชนเดือดร้อนเราต้องไป เพราะเราเป็นตำรวจต้องสะสางให้เรียบร้อย
นี่คือ พ.ต.ท.ขุนพลบำบัดภัย (สัตย์เจริญ) สมดั่งชื่อจริงๆ นั่นแหละ นายตำรวจท่านนี้ ก็คือบิดาแท้ๆของ พล.ต.ต.พินิจ สัตย์เจริญ แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งเลย
พล.ต.ต.พินิจเป็นบุตรคนที่ 6 จากจำนวน 8 คน เรียนจบ ร.ร.อนุบาลของจังหวัดในชั้นประถม และมาเรียนจบจาก ร.ร.พิษณุโลกวิทยาคม (ชาย) ด้วยคะแนนระดับดีต้นๆ หลังจากนั้นก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯมาพักกับญาติๆ เพื่อหวังจะเรียนต่อด้านกฎหมาย ระดับมหาวิทยาลัย
แต่..บังเอิญ โรงเรียนเตรียมทหาร ถนนราชดำเนิน เขาเปิดรับสมัคร จึงไปทดลองสมัครดู เมื่อสอบเสร็จก็กลับบ้านไม่เคยคิดจะมาดูผลว่าสอบผ่านหรือไม่ เพราะอยากจะรอสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขณะรอสมัครสอบนั้น ฝ่ายพ่อที่ชราภาพมากแล้ว แจ้งมาว่าให้ไปดูผลสอบเตรียมทหารสักนิด ถ้าสอบได้ก็เรียนเลย ท้ายสุด พล.ต.ต.พินิจก็ไปโรงเรียนเตรียมฯ พบว่า ตัวเองสอบผ่านสบายๆ เข้าเรียนนาน 2 ปี จนจบ
แต่คะแนนที่สอบจบนั้นได้เหล่านักเรียนนายเรือ ขณะที่กำลังจะดีใจ มีเพื่อนนักเรียนเตรียมคนหนึ่ง ได้เหล่านักเรียนนายร้อยตำรวจ มาชวนขอสลับกัน คิดอยู่นานว่า ถ้าเป็นตำรวจเหมือนพ่อจะดีหรือไม่ จะทำตัวได้เหมือนพ่อหรือเปล่า
ในที่สุด..จึงตัดสินใจด้วยตัวเองในนาทีนั้นว่าตกลง ทำเอาเพื่อนที่ต้องการเป็นนายทหารเรือดีใจสุดๆ ขณะที่ พ่อแม่ญาติพี่น้อง”สัตย์เจริญ”ต่างดีใจที่จะได้เห็นลูกคนที่ 6 เป็นนายตำรวจ
พล.ต.ต.พินิจ เรียนจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นที่ 23 รุ่นเดียวกับนายตำรวจดังๆหลายสิบคน ซึ่ง พล.ต.ต.พินิจยังเป็นมือกีตาร์เล่นดนตรีของรร.ด้วย
ในช่วงเวลาหนึ่งทางนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานได้ไปแสดงดนตรีที่โรงละครแห่งชาติ ก็ได้พบกับนักเรียนหญิงจากโรงเรียนนาฏศิลป์คนหนึ่ง ที่สุดสวยสะดุดตา และได้รู้จักกันอย่างสนิท หญิงคนนี้ ก็คือ คุณนายผ่องพรรณ ภรรยาคู่ชีวิต อดีตครูสอนหลากหลายโรงเรียนในปัจจุบันนั้นเอง
ในที่สุด พล.ต.ต.พินิจก็เรียนจบรับพระราชทานกระบี่จากพระหัตถ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 อายุตอนนั้นเพียง 24ปี ประดับยศร้อยตำรวจตรี
ตอนที่ 3
จบจากสามพราน ร.ต.ต.พินิจหอบเสื้อผ้า เครื่องพิมพ์ดีด ไปเป็นพนักงานสอบสวน หรือ รอง สวส.ทำหน้าที่ร้อยเวร รับเรื่องราวร้องทุกข์ในคดีอาญาและจราจร เพิ่มพูนประสบประการณ์ เชี่ยวชาญแม่นตัวบทกฎหมายเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยความขยันขันแข็ง ร.ต.ต.พินิจมักได้ขั้นพิเศษที่ผู้บังคับบัญชาให้แทบทุกปีและได้ประดับยศเป็น ร.ต.ท.เพียงไม่นาน
ชีวิตตำรวจนั้นหาใช่สุขสบายเสมอไป ร.ต.ท.พินิจหวิดเอาชีวิตไปทิ้งจริงถึงสองหนเชียว
ครั้งแรก นั่งรถร้อยเวรไปที่เกิดเหตุกับลูกน้องหลายคน รถเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำแถมไปประสานชนกับรถคันอื่นๆ ลูกน้องสองคนตายคาที่ ส่วน ร.ต.ท.พินิจอาการสาหัสซี่โครงหัก ขาหัก มีบาดแผลท่วมตัว อาการเป็นตายเท่ากัน
เมื่อถึงโรงพยาบาล แพทย์นำตัวเข้าห้องผ่าตัด ตำรวจที่โรงพักรู้ข่าวก็มาดูความเป็นห่วง และภาวนาขออย่าให้เป็นศพที่สามตามลูกน้อง
หลังผ่าตัดเสร็จสิ้น แพทย์ได้บอกว่า ร.ต.ท.พินิจปลอดภัยแล้ว แต่ให้นอนรักษาที่โรงพยาบาลนาน 1 เดือน
อีกครั้ง..ที่เฉียดตาย ร.ต.ท.พินิจแต่งนอกเครื่องแบบ ได้ไปนั่งพักผ่อนกับลูกที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขณะนั้น มีโต๊ะนักเลงราว 3 คน นั่งดื่มสุรา และมีปากเสียงกับเจ้าของร้าน
ที่น่ากลัวคือหนึ่งในสามได้ชักปืนออกมายิงใส่เวทีนักดนตรีแต่ไม่โดนใคร จากนั้นคนยิงได้ลุกจากโต๊ะเดินออกไปหลังร้าน
ร.ต.ท.พินิจเห็นเหตุการณ์นั้นตลอด หากกลัวและเฉยเสียนั่งเฉยๆก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ด้วยสามัญสำนึกในหน้าที่ที่พบการกระทำความผิดต่อหน้าเช่นนี้ มีอย่างหรือลูกชาย พ.ต.ท.ขุนบำบัดภัยจะเฉยนิ่ง ทั้งที่ตัวเองมิได้พกปืนมาด้วย
ร.ต.ท.พินิจสั่งให้ลูกน้องหนึ่งคนไปควบคุมชายสองคนที่โต๊ะไว้ ลูกน้องอีกคนให้เดิมตามมาห่างๆ เมื่อเห็นคนยิงปืนกำลังจะเดินหนีและปืนคนร้ายยังกำอยู่ที่มือขวา ร.ต.ท.พินิจทำทีเป็นคนเมาเดินโซเซผ่านไปใกล้คนร้าย นาทีนี้..จึงเข้าจับตัวทันที เอามือขวาจับข้อมือขวาคนร้ายที่กำปืนอยู่
การต่อสู้จึงเกิดขึ้น คนร้ายพยายามต่อสู้โดยเหนี่ยวไกลั่นกระสุนถึง2 นัด กระสุนนัดที่2 เจาะเข้าที่หน้าผาก แต่โชคดีที่เเฉลบขึ้นบนมีบาดแผลเลือดไหลอาบหน้า ลูกน้องที่เดินห่างวิ่งเข้าปลุกปล้ำอีกคนจนสามารถจับคนร้ายได้ สร้างความตื่นเต้นต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก
นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคนของจังหวัดต่างมาในที่เกิดเหตุ ส่ง ร.ต.ท.พินิจไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกคน และนำตัวคนร้ายไปดำเนินคดีพร้อมยึดของกลาง ต่อมาศาลได้ตัดสินคดีนี้ลงโทษจำคุกสิบปีเลยที่เดียว
ผู้ใหญ่หลายคนเห็นว่า หากปล่อยให้ ร.ต.ทพินิจอยู่ต่ออาจมีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นอีก ชีวิตตำรวจอาจจบเร็วทั้งที่ยังหนุ่มแน่และเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ กับกับครูผ่องพรรณอีกด้วย ได้มีคำสั่งให้ไปดำรงตำแหน่งเป็นครูสอนโรงเรียนพลตำรวจภูธร จังหวัดชลบุรี และประดับยศให้เป็นร้อยตำรวจเอกในทันที
ตอนที่ 4
ลองทายดูหน่อยว่า ในประเทศไทยนั้น พื้นที่ไหนที่ยุงยากและวุ่นวายที่สุด หลายคนอาจตอบว่า กรุงเทพเชียงใหม่ หาดใหญ่ ของแก่น โคราช ภูเก็ต อาจจะถูกต้องบ้าง แต่หาใช่เป็นปัญหาที่แท้จริง
พื้นที่ข้างต้น หากถามตำรวจระดับผู้กับกับหรือผู้การแล้วทุกคนย่อมตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า หมูมาก บริหารง่าย ปกครองง่ายแก้ปัญหาง่าย ถ้าเช่นนั้นแล้วพื้นที่ไหนที่แสนยาก ระดับตำรวจอาชีพแล้ว ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เมืองพัทยา“ไง
พัทยา หลับตานึกภาพดูว่า เป็นเมืองที่หินสุดๆ ตำรวจมือไม่ผ่าน มือไม่ถึง ยากยิ่งที่จะถูกเชิญมาปกครองหากจะมาด้วยการกอบโกย ผลประโยชน์ หรือย้ายมาด้วยเส้นสาย
แต่..อยู่ไม่นานแน่ เพราะตำรวจเหล่านั้นเป็นของเทียม มือไม่ถึง ไม่ช้าก็ถูกร้องเรียน มีปัญหานานาที่แก้ไม่ถูกทาง ย้ายมาเป็น ผกก.เพียงหนึ่งหรือสองปีก็ต้องถูกเด้ง ด้วยผลงานไม่เข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น..ใครที่ถูกเลือกมาดำรงตำแหน่งผู้กำกับเมืองพัทยา ต้องดีเด่นพร้อมในทุกด้าน ต้องขยัน เอาในใส่ รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ กล้าหาญ อ่อนน้อมถ่อนตน มองทุกข์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญต้องมือสะอาดเป็นที่สุด
เมืองชายทะเลพัทยา เป็นสถานท่องเที่ยว มีคนเรือนแสนเข้ามาขุดทอง มากอิทธิพล จากนักการเมือง จากข้าราชการระดับสูง จากเจ้าพ่อเจ้าแม่ สถานบริการนับหมี่นๆแห่ง บ้านจัดสรร คอนโดฯ โรงแรม บาร์เบียร์ ท่องเที่ยว เจ้าพ่อจากต่างชาติเข้ามาผลประโยชน์หลายชาติหลายภาษา ความเจริญก้าวหน้าฯลฯ สิ่งเหล่านี้ กลายเป็นปัญหาได้แทบทุกนาที ดังนั้น..จึงมิใช่ง่าย ที่ตำรวจไม่เก่งพร้อมจะมาดูแลเมืองพัทยาได้
ตอนที่ 5
ผู้กำกับการตำรวจเมืองพัทยา ถือเป็นหัวใจ เป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใครจะย้ายเข้ามาบริหารนั้น ต้องผ่านการกลั่นกรองซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงจะมาได้ ดังนั้น..คณะกรรมที่กลั่นกรองจำต้องค้นหาประวัติจากตำรวจทั่วประเทศ ว่า ใครเหมาะสมที่สุด
ไม่น่าเชื่อ พ.ต.ท.พินิจ สัตย์เจริญ ถูกคัดเลือกเป็นเต็งหนึ่ง โดยไม่มีใครโต้แย้ง
ด้วยผลงานนานาประการที่หลายๆคนเห็นประจักษ์ จากทุกท้องที่ที่พ.ต.ท.พินิจเคยอยู่มานั้นการันตีได้แน่นอน บ้านเมือง สงบเรียบร้อย โจรผู้ร้ายหายเงียบ ด้วยมีการกวาดล้างจับกุมอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีผลงานเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป
ดังนั้นพ.ต.ท.พินิจถูกคำสั่งย้ายด่วนไปทำหน้าที่ ผกก.เมืองพัทยาที่กำลังร้อนระอุจากกลุ่มอิทธิพล หลายทิศทาง
เมื่อ ผกก.พินิจมาถึงเมืองพัทยา แน่นอน..มีพ่อค้าแม่ค้าประชาชน รวมไปถึงกลุ่มคนสีเทา ที่แอบแฝงเข้ามาตีสนิทอย่างเงียบๆมาต้อนรับ มีการนำเสมอรายได้กองโตจำนวนมากมาให้
แน่นอน..ทุกคนต้องผิดหวัง ผกก.พินิจไม่รับ หนำซ้ำถูกขู่กลับไปว่า
ถ้าใครทำผิดกฎหมายจะถูกจับหมด สถานบริการต้องปิดตามกำหนดเวลาเท่านั้น ถึงจะอยู่ได้ ทุกคนไม่มีอภิสิทธิ์เสมอเท่ากันหมด นี่คำประกาศิต ชัดเจน
ที่น่าตกใจ การประชุมตำรวจ ผกก.พินิจสั่งเด็ดขาด ตำรวจที่รับส่วยทุกคนต้องหยุด ใครไม่เชื่อฟังจะถูกสั่งย้าย พร้อมโดนคดีอาญาปลดออกไล่ออก จึงให้ตำรวจทุกคนหันมาทำหน้าที่ดูแลทุกสุขประชาชน ดูแลนักท่องเที่ยว ต้องขยันอดทน ใครมีปัญหาให้มาพบได้ 24 ชั่วโมง
เพียง 1 ปี ที่ผกก.พินิจดูแลทุกอย่างก็สงบเรียบร้อย ชาวต่างชาติต้องขึ้นบัญชีห้ามผิดกฎหมาย ยาเสพติดหมดสิ้น กลุ่มอิทธิพลเงียบสงบ เพราะเจอ ผกก.เอาจริง เลยเกรงกลัว
ส่วนหนึ่งจากหนังสืออนุสรณ์งานฌาปนกิจพล.ต.ต.พินิจ สัตย์เจริญ
“รำลึกในความทรงจำนิจนิรันดร์ ผู้ให้และเป็นทุกสิ่งของครอบครัว”
policenewsvarieties ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปครั้งนี้ด้วย