Monday, December 22, 2025
More
    HomeบันเทิงจากหนังAvatar : Fire and Ash – อวตาร : อัคนีและธุลีดิน

    Avatar : Fire and Ash – อวตาร : อัคนีและธุลีดิน

    อย่างแรกที่ต้องบอกก็คือ ถ้าอยากจะดู Avatar : Fire and Ash – “อวตาร : อัคนีและธุลีดิน” ให้รู้เรื่อง ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องกลับไปหยิบเอา Avatar ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2009 กลับมาดูก่อน

    จากนั้นก็ตามด้วย Avatar : The Way of Water (2022) ซึ่งทั้งหมดเป็นงานกำกับฝีมือของ “เจมส์ คาเมรอน” ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวแคนาดา มีชื่อเสียงโด่งดังระดับแถวหน้าของฮอลลีวูด เจ้าของผลงานกำกับหนังดังขึ้นหิ้ง

    อาทิ Titanic (1997), The Terminator (1984), Terminator 2 : Judgment Day (1991) รวมถึง Aliens (1986)

    ใน Avatar ภาคปฐมบทนั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ “แพนโดรา” เป็นที่อยู่อาศัยของ “ชาวนาวี” ร่างกายสูงใหญ่ มีผิวสีฟ้า ดินแดนบนจันทร์ดวงนี้ มีภูเขาลอยได้ ป่าไม้เขียวชอุ่ม

    พืชและสัตว์มีลักษณะแปลกตาเรืองแสง มีเอกลักษณ์
    ดวงจันทร์แพนโดราโคจรรอบดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์โพลีฟีมัส (Polyphemus) ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ในระบบดาวอัลฟา เซนทอรี อยู่ห่างจากโลกเพียง 4.37 ปีแสง

    นั่นหมายความว่าแพนโดราเลยไม่ไกลจากโลกนัก มนุษย์จึงมุ่งเป้าเดินทางไปหาทรัพยากร

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายก็คือชั้นบรรยากาศที่เป็นพิษของดาว ทำให้มนุษย์หายใจไม่ได้ ดังนั้น จึงมีการตั้งโครงการ “อวตาร”
    กำกับดูแลโดยองค์กร Resources Development Administration (RDA) ปฏิบัติการออกแบบร่างกายลูกผสมระหว่างมนุษย์และชาวนาวี

    ผู้ควบคุมร่างกายนี้จะใช้ร่างอวตารได้ราวกับเป็นร่างกายของตนเอง เพื่อช่วยให้มนุษย์สามารถสำรวจสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลและไม่เอื้ออำนวยของแพนโดราได้ โดยไม่ทำให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในอันตราย

    ​ความเดิมจากภาคแรกนั้น “เจค ซัลลี่” (แซม เวิร์ธธิงตัน) ได้รับสัญญาจาก RDA ต่อจากพี่ชายฝาแฝดที่วายชนม์ มาเป็นผู้ควบคุมร่างอวตารบนแพนโดรา

    เขาได้รับมอบหมายจาก “ไมล์ส ควอริตช์” (สตีเฟ่น แลง) เจ้านายในหน่วย RDA ให้แทรกซึมเข้าไปในเผ่าโอมาติคายาของชาวนาวี เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาออกจากถิ่นที่อยู่

    แต่แล้ว “เจค ซัลลี่” กลับไปตกหลุมรัก “เนย์ทิรี” (โซอี้ ซัลดาน่า) จนตัดสินใจแปรพักตร์ กลายเป็นปรปักษ์กับ RDA และทำหน้าที่ปกป้องชาวนาวีจากการถูกกดขี่ขับไล่จากแพนโดรา


    ใน Avatar : The Way of Water หนังพาผู้ชมติดตามชีวิตของ “เจค ซัลลี่” และ “เนย์ทิรี” ที่หลายปีต่อมาพวกเขามีโซ่ทองคล้องใจ 3 คน คือ “เนเทยัม”, “โลอัค”, “ทุค” มีลูกสาวบุญธรรมชื่อ “คีรี” และ “สไปเดอร์” ลูกชายบุญธรรมมนุษย์ ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

    https://www.youtube.com/watch?v=PEMUqWvUTpU

    ทั้งหมดเจอสถานการณ์บังคับให้ละทิ้งบ้านในป่า ลี้ภัยไปอาศัยอยู่กับเผ่า Metkayina ในมหาสมุทร แต่ศึกก็ยังไม่จบ เพราะ “ไมล์ส ควอริตช์” ได้ดัดแปลงพันธุกรรมมีร่างอวตารนำทัพ RDA ตามล่าหา “เจค ซัลลี่”

    ในภาคนี้ครอบครัวซัลลี่ต้องสูญเสียลูกชายคนโตไปอย่างไม่มีวันกลับ

    ​มาถึง Avatar : Fire and Ash ที่ถือเป็นงานปิดไตรภาคของ Avatar ก็คือความคืบหน้าต่อจากภาค 2 ซึ่ง “เจค ซัลลี่” และ “เนย์ทิรี” ยังคงโศกเศร้ากับการสูญเสีย “เนเทยัม” และ “โลอัค” ก็แบกรับความรู้สึกผิดที่รอดชีวิตมาได้


    ขณะที่แพนโดรา ก็ยังถูก RDA คุกคาม เข่นฆ่า รีดเอาทรัพยากรจากสัตว์ดึกดำบรรพ์ในทะเล ซ้ำต้องรับมือกับศัตรูใหม่คือเผ่ามังควาน มีหัวหน้าคือ “วารัง” รับบทโดย “โอนา แชปลิน” ที่กระหายอำนาจเหี้ยมโหด

    การพัฒนาเรื่องราวระหว่างภาคแรกและภาค 2 ที่ต่อเติมขยับขยายอย่างสนุก รวมถึงการงอกตัวละครออกมามากมาย ให้พวกเขาเผชิญเรื่องผจญภัยต่าง ๆ นานา ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานสมบูรณ์แน่นหนาของเรื่อง ทำให้ทุกอย่างเริ่มต้นอย่างรวดเร็วในภาคล่าสุด

    นอกจากบรรยากาศท่ามกลางสงครามปะทุ ตัวละครหลัก ๆ ยังได้โอกาสปลดเปลื้องปมในใจ ไขปริศนาที่มาของชีวิต พาไปสำรวจจิตวิญญาณของชาวนาวี พร้อม ๆกับสำรวจจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นในธรรมชาติ “แพนโดรา”

    ​ที่ยังคงเสน่ห์ไม่เสื่อมคลายก็คือฉากธรรมชาติสุดงดงาม ที่คงความต่อเนื่องจากภาค 2 ซึ่งต้องบอกว่าใน Avatar : The Way of Water ได้แสดงให้เห็นการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีอย่างน่าตื่นตะลึง


    ฉากการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาในภาค 2 นั้นพอมาถึงภาค 3 ก็ยังไม่แผ่วลงแต่อย่างใด

    คงไม่เกินเลยไปนักถ้าจะบอกว่าทุกอณูของ Avatar : Fire and Ash เต็มไปด้วยประณีตในทุกรายละเอียด และความยาวของหนังที่ 3 ชั่วโมง 17 นาที

    แม้จะลุ้นเหนื่อยไปหน่อยกับการสู้รบที่จัดมาแบบแน่น ๆ เน้น ๆ แต่ก็เป็นการจบไตรภาคที่อิ่มเอมเหลือเกิน!

    ​Blue Bird21/12/68

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments