หลายฉากในภาพยนตร์ Jurassic World Rebirth หรือ “จูราสสิค เวิลด์ : กำเนิดชีวิตใหม่”
งานกำกับของ “กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์” ที่เคยมีผลงานสุดโด่งดังอย่าง Godzilla (2557), Rogue One: A Star Wars Story (2560), The Creator (2566) ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่าเป็นพวก “รักง่ายหน่ายเร็ว”
เมื่อไดโนเสาร์ที่เคยเป็นที่ตื่นเต้น ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์ก็เบื่อและเมินเฉยต่อสัตว์โลกล้านปีที่ถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา
Jurassic World Rebirth เป็นเหตุการณ์ 5 ปีต่อมาจากภาค Jurassic World Dominion (2565) ที่กำกับโดย “โคลิน เทรวอร์โรว์”
ซึ่งภาค Jurassic World Rebirth ให้ความคืบหน้าว่าไดโนเสาร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในระบบนิเวศน์ของโลก แต่ก็มีไดโนเสาร์บางส่วนเจริญเติบโตมีความรุ่งเรืองในสายพันธุ์อยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร เนื่องจากมีสภาพภูมิอากาศคล้ายกับสภาพภูมิอากาศที่พวกมันเคยมีชีวิตอยู่
ถึงมนุษย์จะรู้สึกเฉยเมยไปแล้วกับการมีอยู่ของไดโนเสาร์ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งใช้ประโยชน์จากพวกมันโดยเฉพาะในวงการเภสัชกรรม
หลังจากมีการวิจัยค้นพบว่า “ดีเอ็นเอ” ของไดโนเสาร์บางสายพันธุ์ คือกุญแจสำคัญต่อการคิดค้นยาที่จะนำไปช่วยชีวิตมนุษย์ได้อย่างสุดอัศจรรย์
https://www.youtube.com/watch?v=Ux_jzWbjKhY
ใน Jurassic World Rebirth บอกกล่าวว่ามีสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่ 3 ชนิดที่มีดีเอ็นอันเป็นคุณต่อวงการยา
ได้แก่ โมซาซอรัส (Mosasaurus) สัตว์เลื้อยคลานทางทะเล มีฉายาว่ากิ้งก่าทะเลขนาดมหึมา,
ไททันโนซอรัส (Titanosaurus) สัตว์ 4 เท้า คอยาว หางยาว กินพืช อาศัยอยู่บนบก และ เควทซาลโคทลัส (Quetzalcoatlus) เป็นสัตว์เลื้อยคลานบินได้หรือเทอร์โรซอร์
เมื่อดีเอ็นเอของสัตว์เหล่านี้คือช่องทางรวย ก็ทำให้ “มาร์ติน เคร็บส์” รับบทโดย “รูเพิร์ต เฟรนด์” ที่ทำงานให้กับบริษัทยายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ได้ว่าจ้าง “โซรา เบนเน็ตต์” รับบทโดย “สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน” อดีตเจ้าหน้าที่กองกำลังพิเศษ เชี่ยวชาญด้านการเก็บกู้วัตถุ ทำภารกิจลับสุดยอด
ไปเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของสัตว์โบราณทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวที่อาศัยอยู่บนเกาะต้องห้ามแห่งหนึ่งในเขตศูนย์สูตร เกาะแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยไดโนเสาร์เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ปัจจุบันถูกทิ้งร้างและมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
“มาร์ติน เคร็บส์” และ “โซรา เบนเน็ตต์” ได้รวบรวมทีมที่จะเดินทางไปยังเกาะแห่งนั้น มีทั้ง “ดร.เฮนรี ลูมิส” (โจนาธาน เบลีย์) นักบรรพชีวินวิทยาที่เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์สายพันธุ์ยักษ์ และ “ดันแคน คิดเคด” (มาเฮอร์ชาลา อาลี) ทหารรับจ้างที่มีเรือลาดตระเวนทางทหาร
ทว่าขณะที่กำลังจะถึงเกาะ เรือของพวกเขาก็ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหนึ่งที่ประสบเหตุเรือล่มกลางทะเลจากการป่วนของเจ้าโมซาซอรัส
การบ่ายหัวเรือไปรับผู้ประสบภัยกลุ่มนี้ ซึ่งมี 4 ชีวิตคือ “รูเบน เดลกาโด้” (มานูเอล การ์เซีย-รูลโฟ) หนุ่มใหญ่ที่พาลูกสาว 2 คน ได้แก่ “อิซาเบลลา” (ออดรีนา มิแรนดา) วัย 11 ขวบ และ “เทเรซา” (ลูนา เบลส) ลูกสาววัยรุ่นพร้อมกับ ซาเวียร์ ด็อบส์ (เดวิด เอียโคโน) แฟนหนุ่มของเธอ ล่องเรือข้ามทะเลไปทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา
![]()
แม้ทีมของ “โซรา เบนเน็ตต์” จะช่วยครอบครัวนี้ให้รอดพ้นจากความตายกลางเวิ้งน้ำได้ แต่ก็กลับกลายเป็นว่าพาพวกเขามาร่วมผจญอันตรายจากสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์แทน
การที่ไม่มีนักแสดงจากภาคก่อน ๆ ปรากฏใน Jurassic World Rebirth (แม้จะเชื่อมโยงอยู่บ้างก็คือตัว “ดร.เฮนรี ลูมิส” ลูกศิษย์ของ “ดร.อลัน แกรนท์” รับบทโดย “แซม นีลล์” นักบรรพชีวินวิทยาที่เป็นพระเอกใน Jurassic Park ภาคแรก) บางทีก็ทำให้คาดหวังว่าแฟรนไชส์นี้จะเดินไปสู่ทิศทางใหม่ ๆ
แต่ว่ากันตามตรง ภาคล่าสุดก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่นัก
อย่างไรก็ตาม ความสนุก ความลุ้นระทึกแบบที่ผู้ชมคุ้นเคยของ Jurassic Park ก็ยังมาครบและชวนตื่นตาตื่นใจไม่เสื่อมคลาย
แม้ตัวละครมนุษย์ในเรื่องจะเบื่อไดโนเสาร์ไปแล้ว และช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าภาคนี้ได้ทำบรรยากาศให้ชวนหวนกลับไป Jurassic Park ภาคแรก
ขณะที่หนังก็แทรกการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นมนุษย์อย่างแนบเนียน แน่นอนว่าเมื่อมีคนดี ก็ต้องมีคนร้าย
หนังยังคงประเด็นเรื่องความรักและความเมตตาอารีที่ไร้เขตแดนระหว่างสายพันธุ์ เรื่องของมิตรภาพ การสูญเสีย และการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมาย
สิ่งเหล่านี้ยังเต็มเปี่ยม น่าจะเรียกได้ว่าเป็น “ดีเอ็นเอ” ของ Jurassic Park รวมถึง Jurassic World ก็ว่าได้ และยังเปิดทางให้แฟรนไชส์นี้ต่อยอดออกไปได้เรื่อย ๆ
Blue Bird5/7/68