เรื่องราวของตัวการ์ตูนเล็กจิ๋วสีฟ้ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เรียกว่า “สเมิร์ฟ”
ผลงานสร้างสรรค์ของนักเขียนการ์ตูนชาวเบลเยียมนาม “เปโย” (Peyo) หรือ “ปิแอร์ คัลลิฟอร์ด” เมื่อปี 2501 กลับมาสร้างความครื้นเครงกันอีกครั้งในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Smurfs
งานกำกับของ “คริส มิลเลอร์” ที่เคยมีผลงานสนุก ๆ เป็นที่ชื่นชอบของแฟนหนังแอนิเมชั่นอย่าง Shrek the Third (2550) และ Puss in Boots (2554)
การกลับมาของแอนิเมชั่น Smurfs ภาคล่าสุด ทิ้งห่างจากภาคที่แล้วคือ Smurfs: The Lost Village (2560) ถึง 8 ปี ถือว่าเป็นงานภาคต่อที่มีระยะเวลาห่างกันนานพอสมควร
ส่วนเรื่องราวของสเมิร์ฟก็ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในภาค Smurfs: The Lost Village เล่าถึงการผจญภัยของ “สเมิร์ฟเฟตต์” (เป็นสเมิร์ฟเพศหญิงหนึ่งเดียว ถูกสร้างขึ้นโดยพ่อมด “การ์กาเมล” ผู้ชั่วร้าย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายเหล่าสเมิร์ฟ) และผองเพื่อนก็คือ “เบรนนี สเมิร์ฟ”, “คลัมซี่ สเมิร์ฟ” และ “เฮฟตี้ สเมิร์ฟ”ได้แผนที่ลึกลับและเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้าม จนค้นพบความลับสุดยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์สเมิร์ฟ
ขณะที่ Smurfs ฉบับปี 2568 พาเรื่องออกไปทะลุจักรวาล ย่ำมิติที่แปลกต่าง
เนื้อหาในเรื่องเริ่มจากการเปิดเผยว่ามีหนังสือเวทมนตร์ที่พิเศษสุด ๆ อยู่ 4 เล่ม ที่หากตกไปอยู่ในมือใคร คน ๆ นั้นไม่แค่เพียงจะครองโลก แต่สามารถครองจักรวาลได้เลย
https://www.youtube.com/watch?v=xRepkCltG-g
แน่นอนว่าตำราเวทมนตร์ 4 เล่มนี้ล้วนเป็นที่หมายปองของผู้ชั่วร้าย และหนึ่งในนั้นก็คือพ่อมด “ราซาเมล” ผู้เป็นน้องชายของพ่อมด “การ์กาเมล” วายร้ายจากภาคก่อน (ทั้งคู่พากย์เสียงโดย เจพี คาร์ลิแอค)
ตามแบบฉบับของหนังประเภทต้องช่วงชิงของวิเศษ ก็จะต้องมีของสิ่งหนึ่งที่หายไป ทำให้ฝ่ายผู้ร้ายตามหาอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งก็มีหนังสือเวทมนตร์เล่มหนึ่งหลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านของชาวสเมิร์ฟมานานหลายปี
มีเพียง “ป๊ะป๋าสเมิร์ฟ” มีเคราขาว (จอห์น กู๊ดแมน พากย์เสียง) ผู้อาวุโสของหมู่บ้านเท่านั้นที่ล่วงรู้
อย่างไรก็ตาม การซ่อนตัวมายาวนานต้องยุติลง เมื่อหนังสือเวทมนตร์เกิดเห็นอกเห็นใจสเมิร์ฟที่ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่า “โนเนม” (No name – เจมส์ คอร์เดน พากย์เสียง)
เนื่องจากเห็นเจ้าหนุ่มสเมิร์ฟเผชิญความทุกข์ใจที่ยังไม่อาจให้นิยามความหมายกับชีวิตของตนเองได้ตามแบบสเมิร์ฟคนอื่น ๆ ที่มีชื่อเฉพาะและอธิบายตัวตนได้อย่างสมบูรณ์
ซึ่งในฉากต่อมาจู่ ๆ เจ้า “โนเนม” ก็มีพลังวิเศษปลดปล่อยแสงออกมาจากมือของเขาพุ่งขึ้นท้องฟ้า
เมื่อแสงปรากฏขึ้นทะลุฟ้า สมุนของ “ราซาเมล” ที่คอยตามหาเบาะแสของหนังสือเวทมนตร์มาเนิ่นนานจึงล่วงรู้ที่ซ่อนของหนังสือเวทมนตร์ ความวุ่นวายจึงมาเยือนหมู่บ้านสุดสงบของสเมิร์ฟ
เมื่อ “ราซาเมล” พ่อมดร้ายเดินทางไปโจมตีพร้อมกับจับ “ป๊ะป๋าสเมิร์ฟ” ไปเพื่อรีดเอาความลับที่อยู่ของหนังสือเวทมนตร์
“สเมิร์ฟเฟตต์” (ริฮานนา) และ “โนเนม” พร้อมกับสเมิร์ฟตัวจี๊ดตัวตึงกลุ่มหนึ่ง จึงออกเดินทางตามหา “เคน” (นิค ออฟเฟอร์แมน) น้องชายเคราแดงของ “ป๊ะป๋าสเมิร์ฟ” และยังได้เจอ “รอน” (เคิร์ต รัสเซลล์) พี่น้องที่พลัดพรากจากกันมานานอีกคนของผู้อาวุโสสเมิร์ฟ เพื่อไปช่วยเหลือ “ป๊ะป๋าสเมิร์ฟ” คืนกลับมา
ว่ากันตามตรงเมื่อเอาเหล่าสเมิร์ฟมายืนเรียงหน้ากันหรือจะเอามาร้องเพลงเต้นระบำ ก็แทบจะจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร แถมชื่อเสียงเรียงนามของแต่ละสเมิร์ฟก็แตกต่างกัน
แต่ความสนุกของเรื่องราวก็ต้องบอกว่า เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่มีพิษภัย เป็นอาหารสมองที่มีประโยชน์
ขณะที่แก่นแกนสำคัญที่ว่าด้วยเรื่องของ “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” เป็นสิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดแจ้งตามท่าบังคับของภาพยนตร์ที่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเล็ก ๆ เข้าไปดูได้
เด็กๆ จะได้สนุกสนานตื่นตาตื่นใจกับคาแรคเตอร์ของสเมิร์ฟแต่ละตัวที่ออกแบบมาอย่างสุดน่ารัก เป็นงานที่ดูเหมือนจะเบาสมองก็จริง เต็มไปด้วยสีสันสดใส
ทว่าเนื้อหาบางอย่างก็ส่งประเด็นอย่างน่าสนใจ เช่น มุมคิดวิเคราะห์ถึงบทบาทท่ามกลางความแตกต่างของเพศ ความแตกต่างของชาติกำเนิด ไปจนถึงการเติบโตทางความคิด
รวมถึงการแสวงหาตัวตนที่ “ใช่” และ “ไม่ฝืน” ตนเอง เป็นสาระที่แฝงอยู่อย่างแยบยลคมคาย
Blue Bird19/7/68