บิ๊กต่าย เปิดยุทธการ “CIB ขยี้อิทธิพล” กวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศ
เมื่อเวลา 11.25 น. วันที่ 12 ธ.ค.67 ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก.,พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก. ปปป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ร่วมแถลงผลยุทธการ CIB ขยี้อิทธิพล โดยใช้ห้อง Real-Time Crime Center (RTCC) ชั้น 8 อาคารกองบังคับการปราบปราม เป็นศูนย์ควบคุมสั่งการ พร้อมทั้งมีการถ่ายทอดรายงานการเข้าปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ผ่านระบบ video conference มายังห้อง RTCC
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ปฏิบัติการในวันนี้เป็นการปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างเป็นผู้ที่มีหมายจับอยู่แล้ว ควบคู่กับการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดรายย่อย ที่มอบหมายให้ตำรวจสอบสวนกลางดำเนินการตรวจค้นจับกุม มี พล.ต.ท. อัคราเดช เป็นหัวหน้าทีมในการติดตามเรื่องนี้
จากการปฏิการครั้งนี้ได้กำหนดเป้าหมายตรวจค้นรวมทั้งสิ้น 118 จุดทั่วประเทศ หมายจับ 51 หมาย ในพื้นที่ 34 จังหวัดทั่วประเทศ
แยกเป็น กลุ่มผู้มีอิทธิพล 47 เป้า อาทิ ค้าอาวุธสงคราม , มือปืนรับจ้าง , ยาเสพติด , ฮั้วประมูลงานราชการ , อดีตนักการเมือง-เจ้าหน้าที่รัฐ ก่อคดีทุจริต , นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ, รับจ้างทวงหนี้โดยใช้กำลัง , แก๊งเงินกู้โหด มีอาวุธ และเงินกู้ออนไลน์ , บุกรุกที่สาธารณะและทำลายทรัพยากร ธรรมชาติ , ลักลอบค้าสัตว์ป่า , บุกรุกที่ดินป่าสงวน
กลุ่มแก็งอาชญากรรม 74 เป้าหมาย ประกอบด้วยแก๊งโจร กรรมรถ , กลุ่มผู้สร้างความเดือดร้อนทางทะเล และชายฝั่ง , แก๊งวัยรุ่น สร้างความเดือดร้อน โชว์อาวุธ ก่ออาชญากรรม ,เปิดผับเสียงดังมีเด็กและยาเสพติด , ตลาดที่มีแกนนำต่างด้าวสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน
ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า ผลปฏิบัติการดังกล่าว จับกุมผู้ต้องหาได้ 90 ราย ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ที่ถูกโจรกรรมได้ 165 คัน ,ปืน 12 กระบอก, กระสุน 234 นัด , ยาบ้า 166 เม็ด , ยาไอซ์ 10.14 กรัม , สมุดบัญชีธนาคาร เกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้ 37 รายการ, เอกสารใบปลิวเงินกู้ ประมาณ 150,000 แผ่น ,และอื่น ๆ อีกหลายรายการ
สำหรับคดีสำคัญในการเปิดปฏิบัติการครั้งนี้ประกอบด้วย ชุดเฉพาะกิจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ชปจร.ก.) ทลายแก๊งโจรกรรมรถข้ามชาติ นำโดย พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รองผบก.ป.พ.ต.ท.นฤทธิ์ ผูกจิตร รองผกก.2.บก.ป. พ.ต.ท. หญิง กัญจิรา นรสาร สว.ปรก. กก.3 บก.ป. นำกำลังจับกุมกลุ่มขบวนการโจรกรรมรถทั่วประเทศ
หลังได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากสมาคมธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไทย รวมถึงมีประชาชนที่ถูกยักยอก, ฉ้อโกง จากการโจรกรรมรถยนต์
ทั้งนี้ตำรวจทางหลวง, ชุดเฉพาะกิจ ชปจร.ก.และกองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันขยายผลจนตรวจค้นเป้าหมาย 29 จุด ตรวจยึดกลุ่มรถยนต์บรรทุกตู้ทึบขนรถจักรยานยนต์ฯ และรถจักรยานยนต์ ตามชายแดนทั่วประเทศขณะกำลังจะนำรถจักรยานยนต์ส่งประเทศเพื่อนบ้าน ตรวจยึดรถกระบะตู้ทึบ 20 คัน, รถจักรยายนยนต์ 165 คัน ผู้ต้องหา 18 ราย
คดีอดีตหัวหน้าสำนักปลัดปลอมและใช้เอกสารราชการฉ้อโกงธนาคารไทยเกินกว่า 20 ล้านบาท โดยพล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.สิทธิพร กะสิผกก.2 บก.ปปป. พ.ต.ต.วันเผด็จ แท่นรัตน์ สว.กก.2 บก.ปปป.,
จับกุมนางลภัสรดา อายุ 46 ปี ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่ 33/2567 ลง 9 ธ.ค.67 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ,เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสารกระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้นร่วมกันฉ้อโกงร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม
และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
จับได้บริเวณบ้านเลขที่ 480/316 หมู่2 ต.สามเรือน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งข้อมูลกรณีพบความผิดปกติของลูกค้าที่มาขอสินเชื่อ ตามโครงการเงินกู้เพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับบุคลากรของรัฐ เป็นโครงการที่ธนาคารฯ ให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษกับลูกค้าที่เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างในสังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลคชสิทธิ์ จังหวัดสระบุรี
เบื้องต้นพบว่า มีการทุจริตจัดทำเอกสารราชการโดยไม่ชอบ และมีเจ้าหน้าที่ของรัฐนำมาใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอสินเชื่อกับธนาคาร ระบุว่าออกจากองค์การบริหารส่วนตำบลคชสิทธิ์ ก่อนจะพบว่ามีนางลภัสรดา หัวหน้าสำนักปลัด รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองคลัง เป็นผู้ดำเนินการ
พบมีลูกค้าที่มายื่นขอสินเชื่อในโครงการดังกล่าว ระบุข้อมูลว่าเป็นพนักงาน/ลูกจ้าง ขององค์การบริหารส่วนตำบลคชสิทธิ์ จำนวน 2 ราย เมื่อตรวจสอบขยายผลพบมีเพิ่มเติมอีก 15 ราย ความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท