วันที่4 ก.ย.65 สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ.6 พ.ต.อ.ทรงพล สังข์เกษม รอง ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก, พ.ต.อ.จักรพงษ์ เคนทวาย ผกก.(สอบสวน)ฯ ปฏิบัติราชการ ภ.6, พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ. เมืองพิษณุโลกและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวจับกุมน.ส.สิตางค์ อายุ 46 ปี ชาว จ.พิษณุโลก
กล่าวหา“ลักทรัพย์หรือรับของโจร, เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตราการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้ สําหรับตน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ง แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 7 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
พร้อมของกลาง เงินสด 2,329,000 บาท ทองคำแท่งหนัก 10 บาท 1 แท่ง มูลค่า 299,500 บาท รถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต สีเทา โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่องสมุดบัญชีเงินฝาก 6 เล่มสำเนาเอกสารและทรัพย์สินอื่น ๆ อีกจำนวนหลายรายการ ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง
ต่อมาวันที่ 2 ก.ย.ตรวจยึดเงินสด12,000,000 บาท ซุกซ่อนในกระเป๋าเดินทาง ที่ช่องเก็บยางอะไหล่หลังรถยนต์มิตซูบิชิ สีเทา ที่จอดอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง ถนนประชาอุทิศ ต.ในเมือง อ.เมือง จว.พิษณุโลก
ผบช.ภ.6กล่าวถึงการจับกุมครั้งนี้ว่า กรณีนายปฏิวัติ ไทยสม อายุ 31 ปี ชาว จ.พิษณุโลกแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.สิตางค์ หลังลักโทรศัพท์มือถือบิดาที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 9 ส.ค.65
จากการสืบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ผู้ต้องหารู้จักกับผู้เสียชีวิต ทําหน้าที่ดูแลขณะที่ ผู้เสียชีวิตเข้ารักษาตัวอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วย อําเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก จนกระทั่งมาเสียชีวิต
ผู้ต้องหาได้ใช้โทรศัพท์มือถือผู้เสียชีวิต โดยทราบรหัสผ่าน เข้าแอปพลิเคชั่นของธนาคารกรุงไทย โอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทยของ ผู้เสียหาย เข้ามาบัญชีธนาคารทหารไทยธนชาตของผู้ต้องหา ตั้งแต่วันที่ 9-16 สิงหาคม 2565 จํานวน 17 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,790,000 บาท
จากนั้นผู้ต้องหาได้นําสมุดบัญชีเงินฝากดังกล่าว มาถอนเงินที่ธนาคาร ทหารไทยธนชาต ในวันที่ 21 สิงหาคม 2565 จํานวน 3,000,000 บาท และวันที่ 24 สิงหหาคม 2565 จํานวน 12,732,654บาทรวมเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น15,732,654บาท
จากนั้นได้น้ําเงินจํานวนหนึ่งซื้อทองคําแท่ง และเงินสดส่วนที่เหลือนํามาซุกซ่อนภายในบ้านและรถยนต์ดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งผู้ต้องหาได้จ่ายเงินในการว่าจ้าง ทนายความ กรณีที่ต้องถูกดําเนินคดี เป็นเงิน 1,000,000 บาท ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนให้ การภาคเสธว่า กระทําไปตามคําสั่งของผู้เสียชีวิต