พี่จิ-จิราพร เพชรพ็งศ์ แม่บ้านคู่คิดคู่ใจข้างกาย ผู้การดำ-พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์
แต่ใครจะรู้ ชีวิตคู่เกือบจะพัง เกือบจะไม่มีวันนี้แล้ว
ชีวิตคุณนายผู้การนครสวรรค์ จิราพร ลูกสาวคนสุดท้องจาก 5 คนของครอบครัวค้าขายใน อ.ร้องกวาง จ.แพร่ ร่ำเรียนเบื้องต้นจากโรงเรียนร้องกวางอนุสรณ์ ก่อนมาจบ ป.ตรี ที่ คณะบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เพราะอยากทำงานเกี่ยวกับบริหาร ทั้งๆที่สอบติดพยาบาลแล้ว แต่ไม่เอา เพราะความรู้สึกที่คิดไปว่า พยาบาลเหมือนกับอยู่ในที่จำเจ
พอเรียนจบเลยมาทำงานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ในจ.นครสวรรค์ ทำมานานนับ 10 ปี ก่อนลาออกมาดูลูกสาวและลูกชาย 2 คน รวมทั้งทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ
รถไฟขบวนลิขิตรัก สาวแพร่-หนุ่มพิจิตร
ส่วนชีวิตรักกับผู้การนักสืบ สาวแพร่คู่กายนายพล นรต.37 เล่าว่า
“เริ่มแรกคือตอนเป็นเด็ก ตอนที่ยังอยู่ที่แพร่ เหมือนจะต้องไปต่อ ม.ปลาย ที่กรุงเทพฯ ก็นั่งรถไฟโดยสารไปเจอพี่ดำ เป็นเส้นทางระหว่างพิจิตร คือเรานั่งรถไฟมาจากแพร่ ช่วงนั้นเหมือนเป็นช่วงเทศกาล เพราะปกติไม่เคยนั่งรถไฟเ ปกติเวลาเข้ากรุงเทพฯ จะนั่งรถทัวร์ หรือไม่ก็พี่สาวมารับ แต่คราวนี้ขึ้นรถไฟมากับพี่ผู้หญิงที่เป็นญาติๆกัน ก็มาเจอพี่ดำ ก็เหมือนเขาชวนคุย แล้วก็ให้ที่อยู่ แค่นั้นนะ ก็มีคุยตอบโต้กันทางจดหมาย อะไรอย่างนี้ สมัยก่อนนะ ก็เหมือนนานๆที ได้เจอกันสักครั้ง ไม่ได้เจอบ่อย….”
ต่อจากนั้นไม่เจอกันอีก 4-5ปี
ตั้งแต่เจอกันบนรถไฟ แล้วไม่เจอกันอีกเลย 4-5 ปี จนกระทั่งเราเรียนจบปริญญาตรี ถึงมาเจอกันใหม่อีกครั้ง คือเขียนจดหมายหากันใหม่ แต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้เจอกันเลยนะ จดหมายก็ไม่ได้คุยกัน พี่เขาเขียนมา ตอนแรกเขาเขียนมา เจอกันอีกที หมายความว่าเขาไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อย แต่เราอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้เจอกัน ต่างคนก็ต่างเหมือนให้รูปไว้คนละใบ แลกกันไว้ สลักไว้หน่อย
เรียนจบถึงนัดเจอ ขำฝ่ายชายจำคนผิด
พอเราเรียนจบ ก็เขียนจดหมายหาพี่เขา เขาก็ตอบมา แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าพี่เขาไปฝึกงานอยู่ที่โรงพักบางยี่ขัน แล้วก็นัดเจอกันที่ห้องสมุดแห่งชาติ มันเป็นเรื่องที่แปลกมากเลย นัดเจอกันที่หอสมุดแห่งชาติ เขาก็จำเราไม่ได้ ก็ยังไปทักคนอื่น เขาจำผิด คิดว่าใช่เรา เราก็เหมือนว่าเรามาช้า นัดกัน แต่เรามาช้า เขารอที่หน้าหอสมุดแห่งชาติ
คบกัน 2 ปี หมั้นจองไว้ก่อน
หลังจากที่ได้เจอกัน ก็คบกันมาตลอด แล้วก็มาหมั้น หลังจากคบกันสักประมาณ 2 ปี แล้วเขาก็บอกว่า เขาสามารถเลือกโรงพักได้ในนครบาล เราก็บอกว่า มาคนละครึ่งทางมั้ย เพราะเราทำงานอยู่ที่บริษัทเงินทุนที่นครสวรรค์ ก็คุยกัน เขาก็บอกว่า ลงนครสวรรค์ ละกัน ไปเหนือก็ได้ ไปกรุงเทพฯ ก็ได้ ก็มาเลือกลงที่นี่ ตั้งแต่พี่เขา ร.ต.ต.บรรจุครั้งแรก
ตัดสินใจแต่งงาน ถึงแม้พี่ๆทักท้วง
หลังจากนั้นเป็นปีนะ ถึงจะแต่งงานกัน แต่งที่นครสวรรค์ แรกๆพี่ๆก็ท้วงนะ แต่งกับตำรวจ เราก็ดื้อ บอกว่าไหนๆ คบกันแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันจนจบ นี่เรื่องก่อนหน้านั้นนะ แล้วเราคิดว่าเราตัดสินใจเลือกเขาแล้ว ก็คงต้องอยู่ เลยต้องแต่ง มาอยู่นครสวรรค์
ฝ่ายชายไปไหน-ไม่ย้ายตาม อยู่ดูแลลูก
พอแต่งแล้วก็อยู่ที่นี่ตลอด พี่ดำไปที่ไหนๆไม่เคยย้ายตาม แต่งกันน่าจะประมาณ 2 ปี ถึงมีลูกสาว มะปราง ตอนนั้นยังอยู่ที่แฟลตตำรวจที่นครสวรรค์ สักระยะหนึ่ง ก็ซื้อบ้านอยู่ พี่เขาก็ประมาณ ร.ต.อ. ตอนนั้น มะปรางกับป่าน ลูกชาย ห่างกัน 2 ปี พอพี่ดำเขาย้าย พี่ก็คอยรับคอยส่งลูกดูแล ตอนนั้นยังทำงานบริษัทเงินทุนด้วย เขาไปอยู่กองปราบ 8 ปี ก็ไม่ได้ตาม ไปอยู่ขาณุฯ ไปอยู่กำแพงฯ ก็ไม่ได้ตาม เพราะต้องยอมเสียสละคนหนึ่งที่จะดูลูก
ลูกยังเล็ก เลยต้องลาออก
กว่าพี่ดำจะกลับมา บางทีก็เดือนหนึ่ง อย่างไปอยู่กองปราบ นี่กลับมาเดือนละครั้ง งานเยอะมาก 8 ปี ไม่ค่อยได้เจอกัน ตั้งแต่สารวัตร จนเป็น รอง ผกก. 8 ปี พี่ก็ดูแลลูก ทำงานอยู่ที่บริษัทเงินทุนจนกระทั่งเป็นสิบปี คิดว่าทนไม่ไหว ลาออกดีกว่า ไปทำอาชีพอื่นดีกว่า เพราะอย่างน้อยเหมือนกับว่าเราต้องลางานตลอด บางทีลูกป่วยบ้าง อะไรบ้าง เราต้องลา
ลูกขาดตรงไหน หา อ.มาสอนเติมตรงนั้น
ตอนนั้นพี่ดำเป็น พ.ต.ต. อยู่ที่กองปราบ พี่ก็ดูแลเลี้ยงลูก ก็สอน 2 คน ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง คือเหมือนกับว่าตัวลูกๆมีความตั้งใจ เราก็สนับสนุน ตกตอนเย็นเราก็เหมือนกับสอนเขาด้วย พี่ก็ไม่เชิงเรียนเก่ง แต่ว่าอะไรที่เขาขาด เราเติม โดยหาอาจารย์มา หาคนที่เรียนเก่ง ที่รู้ มาสอนเขา มาให้เขาอย่างนี้ มันก็เลยเหมือนเขาพัฒนาได้เร็วอะไรอย่างนี้
ลูกสาวลูกชายเรียนเก่งมาแต่เด็ก
อย่างลูกสาวคนโต ถามว่าตั้งใจจะเป็นหมอมั้ย ก็เหมือนว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก พอเราเริ่มรู้ว่า เขาสนใจอ่านหนังสือ เราก็สนับสนุน หาโน่นหานี่มาให้ เขาเหมือนใฝ่ดี เรียน เกรด 4.0 ตั้งแต่เด็ก กระทั่งจบมหาวิทยาลัย ตอนนี้เป็นหมออยู่ที่เก้าเลี้ยว เหมือนกับว่าเขาเรียนจบแพทย์ มา 6 ปี แล้วใช้ทุนให้รัฐบาล 3 ปี ตอนนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว จะหมดแล้ว ก็จะไปต่อเฉพาะทางอีกช็อตหนึ่ง คือได้ทุนแล้ว ที่สอบแข่งขัน ก็ได้ทุนปีนี้ แล้วไปเรียนปีหน้า ที่จุฬาฯ จบแพทย์จากนเรศวร ส่วนป่าน ก็จบโรงเรียนชายนครสวรรค์ โรงเรียนมัธยม ไปต่อวิศวะ ที่ ม.นเรศวร ตอนนั้นพี่ดำ ยังไม่เป็นนายพล แต่ตอนมะปราง จบนี่ ได้เป็นผู้การประจำ ผู้การครั้งแรก
ล้มลุกคลุกคลานจนเคยคิดเลิก
วิธีการอยู่ของครอบครัวเรา ก็คุยกัน มันต้องใช้ความอดทนมากๆ เรานี่เหมือนล้มลุกคลุกคลานมา ตอนแรกยังคิดเลย เหมือนจะเลิกกันด้วยซ้ำ แต่ไปๆ มาๆ มันเหมือนว่า เราก็เข้าใจเขา เพราะเขาก็ไม่ได้มีความสุขกับการที่ต้องทำงานมากเท่าไหร่ แต่เหมือนได้มาอยู่แล้ว ก็ต้องทำงานเต็มที่ที่สุด เขาเหมือนเป็นคนที่รักงานบู๊ แต่เราเหมือนกับอยู่เบื้องหลัง จะทำอะไรได้ นอกจากให้กำลังใจดีกว่า ตอนแรกเหมือนหมดกำลังใจ เหมือนท้อ เพราะเหมือนเราต้องเลี้ยงลูกคนเดียว งานเราก็ทำ แต่ตัวเขาก็ทำนะ เราก็มานั่งคิดว่า เขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เราทำงานด้วย เลี้ยงลูกด้วย มันก็ค่อนข้างหนัก
เรื่องนาย สามีไม่ทะเลาะ เมียโกรธคุยทีหลัง
สมัยนั้น 7 โมงเช้า ต้องถึงที่ทำงาน บางทีบัญชียังไม่ลงตัว สี่ทุ่ม ยังไม่ได้กลับบ้านเลย อย่างนี้ ลูกก็อีกต้องเลี้ยง ก็ต้องฝากพวกพม่า กะเหรี่ยงมาช่วยดู จุดเปลี่ยนก็คือพี่ลาออก ที่ท้อหมายถึงว่า ผู้จัดการ เขามองว่าเราลาบ่อย บางทีลาคลอด มันก็เยอะอยู่แล้ว และบางทีลูกป่วย มันก็สำคัญนะ บางทีลูกมีกิจกรรม มีงาน อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องดูตรงนี้ ทิ้งไม่ได้ เรื่องอย่างนี้เป็นหน้าที่เราเลย ทำงานด้วย ดูแลลูกด้วย จุดนี้ก็ใช้เวลานานพอสมควร ที่เราท้อเพราะเราไม่ได้เจอเขา เขาก็มาง้อ ตอนที่เหมือนว่าอยากจะเลิกกัน เหมือนกับว่า เขาจะไม่ทะเลาะกับนาย กับเมียนี่คือเดี๋ยวคุยได้ ตำราเขาอย่างนี้ เมียคุยทีหลัง โกรธๆ ไป แต่นายนี่ไม่ได้ คำไหนต้องคำนั้น เรื่องงานต้องมาที่ 1
อยู่จนเข้าใจ ตอนนี้ไม่คิดอย่างเดิม
ก็อยู่กันมา ก็เข้าใจกัน ถ้ามาตอนนี้มันถึงจุดอิ่มแล้ว มันก็ไม่คิดอย่างเดิมแล้ว เพราะตอนนั้นมันเหมือนกับเราทำงานด้วย แล้วลูกก็เลี้ยงด้วย พี่เขาเดือนหนึ่งกลับมาหน เขาคือแค่งาน ลูกนี่เขานานๆ ที ที่จะมาดู ช่วงตอนนั้นเหมือนช่วงแต่งใหม่ๆ รับแบบนี้ไม่ได้ หมือนเขารักลูกน้อง เขารักนาย รักการทำงาน ยุคนั้นเลย เขาจะไม่สนใจอะไร
พ่อไปทำงานนาน ลูกวิ่งหนี จำพ่อไม่ได้
พี่ดำแกเป็นคนรักลูกน้อง รักพวก มีพวกเยอะ ตอนแรกเขาทำงานสืบ เราก็ห่วง เขาก็ห่วงเรา เคยมีครั้งหนึ่ง ตอนไปอยู่กองปราบ แล้วไม่ค่อยได้กลับบ้าน พอกลับบ้าน ลูกชายเห็นพ่อแต่งเครื่องแบบมา วิ่งหนีเลย เพราะลูกไม่ได้เจอเลย ลูกชายกลัว เขาไม่รู้ว่าใคร เหมือนว่าพ่อไปนานจัด ก็ไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไหร่ อย่างบางทีเราดูทีวี เด็กก็ต้องดูการ์ตูน ใช่มั้ย ไม่เคยรู้ข่าวเลยว่า เขาโดนยิง หรือว่าเขารถคว่ำ คือแทบไม่รู้เลย ตอนที่โดนยิงนี่ไม่รู้เลย มารู้อีกทีก็ตอนที่ว่ามีคนโทร.มาบอก เพราะลูกดู เราไม่ได้ดูข่าว ตอนที่ไปอยู่กองปราบใหม่ๆ ตอนเป็น สว.พอมารู้อีกที ตอนนั้นเราก็ห่วงมนก
รู้ข่าวถูกยิง คิดว่าเป็นม่ายแน่ๆ
ตอนนั้นมีน้องๆ ที่เป็นตำรวจ โทร.มาบอกว่าถูกยิง เราก็ใจหายใจคว่ำหมดเลย ตอนนั้นไป รพ.แต่ว่าไม่ได้นอน รพ. ตอนนั้นนี่มีความรู้สึก คิดว่าเราต้องเป็นม่ายแน่ๆ เหมือนกับว่า เขาบู๊ มาก จริงๆ มันผ่านอะไรมาเยอะมาก แต่มันเหมือนปลีกย่อย เราก็เคยพูด เคยบอกเขาว่าเบาๆ หน่อย แต่เหมือนไม่รู้อะไร ใจเขาคงชอบ เขารักงานแบบนี้ เขารักงานอย่างนี้จริงๆ รักจนแบบ เราห้ามไม่ได้ จนเราต้องปลง ต้องหันกลับมา ตอนแรกนี่งอน หนีไปแพร่ รอบหนึ่ง
ที่ลำบากผ่านมา ลืมไปหมดแล้ว
พอมาวันนี้ก็รู้สึกเหมือนสบายขึ้น เหมือนกับเขาทำงานประสบความสำเร็จ เลยมีความรู้สึกตัวเราเบา สบาย ที่เราต้องผ่านมา เราก็ลืมมันไปหมดเลย ลูกๆ ก็แฮปปี้ ก็ได้แบ่งเบางาน มีงานแม่บ้านตำรวจ ก็คือ ทำตามปกติ ตอนนี้เหมือนกับว่าแต่ก่อน ถ้าย้อนหลังไป ไม่ค่อยได้ทำเลย น้อยมาก เพราะตอนนั้นลูกยังไม่โต
ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ลูกๆถึงฝั่ง
ตอนนี้เบาเลย รู้สึกเหมือนเราไม่ห่วงอะไรแล้ว ลูกๆก็ถึงจุดหมายของเขา คือเขามีงานทำแน่ๆ เขาเลี้ยงตัวเองรอดแน่ๆ เลยไม่ห่วงหน้า พะวงหลังแล้ว เพียงแต่รอดูเขาเป็นฝั่งเป็นฝา ตอนนี้ก็ส่งเขาถึงฝั่งแล้ว แต่ลูกๆก็ยังไม่มีแฟนนะ ถ้าเป็นวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ก็จะกลับมาเจอกัน 4 คน ส่วนใหญ่จะมาพูดคุยกันถามไถ่ งานมีปัญหาอะไร เอาทุกปัญหามาคุยกัน วางไว้บนโต๊ะ แล้วพ่อก็ให้คำแนะนำ บอกว่าวางแผนเลือกชีวิตคู่ยังไง ทำงานต้องเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ยังไง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของการทำงานส่วนใหญ่เลย เพราะลูกยังไม่เคยเจอปัญหาที่หนักๆ ก็บอกเขาให้เขาไปปฏิบัติ ไปทำตาม
ตำราชีวิตคู่ เข้าใจ อดทน ให้อภัย
อยากจะบอกครอบครัวตำรวจคู่อื่นๆ น้องๆ ว่าต้องอดทน ต้องเข้าใจกันให้มาก ให้น้องๆ อดทน เราก็ให้กำลังใจ ของที่มันหอมหวานมันจะมาเอง ก็อย่างที่บอก ต้องเข้าใจและอดทน แล้วก็ให้อภัย บางทีมันก็ผู้หญิง มันก็มีบ้าง ที่บางเวลาอาจจะคิดมาก ว่าสามีไปอยู่ไกลๆ อะไรอย่างนี้ มันก็มีหลากหลายในภาวะนั้น ก็ได้แต่คิด เหนื่อยเพราะคิดเยอะ แต่ในระหว่างคิด เราก็คงต้องปลงไปด้วย หันมาดูแลลูกดีกว่า
ขวัญดาว28/6/61